คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรมในที่ดินสองแปลงกับที่บ้านหนึ่งแปลงคนละส่วนเท่า ๆ กัน และได้ครอบครองร่วมกันและแทนกัน การที่จำเลยเข้าไปไถนาทั้งสองแปลง และไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินบ้านโดยจำเลยอ้างว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของตนคนเดียว เห็นได้ว่าขัดต่อสิทธิจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรวมกันจำเลย กรณีจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1360 และมาตรา 420,421
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางยวงมีที่ดินนาสองแปลง ที่ดินบ้านหนึ่งแปลง ได้ทำพินัยกรรมให้ได้นายเรือนบิดา โจทก์ที่ ๑ กับโจทก์ที่ ๒ ถึงโจทก์ที่ ๔ และจำเลยคนละเท่า ๆ กัน นางยวงตายมานานประมาณ ๑๖ ปี ทายาทตกลงยังไม่แบ่งทรัพย์สินตามพินัยกรรม ให้ปกครองร่วมกันและแทนกัน นายเรือนตาย ๗ ปีมาแล้ว โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้รับมรดกแทนที่นายเรือน เมื่อเดือน ๗ ปี ๒๕๑๔ โจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินเป็น ๕ ส่วน ปักหลักเขตไว้แล้วตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ยังไม่ได้เข้าครอบครอง ต้นปี ๒๕๑๕ จำเลยเข้าไปไถนาทั้งสองแปลงและไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินบ้านทำให้โจทก์ทำนาไม่ได้ ขาดรายได้ประมาณคนละ ๖,๐๐๐ บาท และขาดรายได้จากที่ดินบ้านคนละ ๒๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยแบ่งที่ดินทั้งสามแปลงแก่โจทก์คนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กัน หากแบ่งที่ดินกันไม่ได้ให้เอาขายทอดตลาดแบ่งเงินกันตามส่วนและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในปีที่ฟ้องและปีต่อไปปีละ ๒๔,๘๐๐ บาทจนกว่าจำเลยจะเพิกเกี่ยวข้องที่ดินตามฟ้อง
จำเลยให้การว่า นางยวงได้ยกทรัพย์สินตามฟ้องทั้งหมดให้แก่จำเลยคนเดียวตั้งแต่ก่อนนางยวงตาย จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินเก็บผลประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของตั้งแต่นางยวงตายจนถึงปัจจุบันเกินกว่าสิบปี และได้แจ้ง ส.ค.๑ ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยไม่ได้ปกครองร่วมกันหรือแทนกันดังฟ้อง จำเลยไม่ทราบเรื่อง นายยวงทำพินัยกรรม หากมีพินัยกรรมอยู่จริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้แบ่งที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นห้าส่วน ให้โจทก์ทั้งสี่และจำเลยได้รับคนละหนึ่งส่วน หากแบ่งกันไม่ได้ ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน คำขออื่นให้ยก
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สำหรับปี ๒๕๑๕ เป็นต้นไปเป็นเงินปีละ ๒,๐๐๐ บาทจนกว่าจำเลยจะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ทั้งสี่คน นอกจากที่แก้นี้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า พินัยกรรมของนางยวงมีผลใช้บังคับได้ โจทก์จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันและแทนกัน
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยเข้าไปไถนาทั้งสองแปลงและไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินบ้าน โดยจำเลยอ้างว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของตนคนเดียว เห็นได้ว่าขัดต่อสิทธิของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรวมกับจำเลย กรณีจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๐ และมาตรา ๔๒๐,๔๒๑ เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๖๙/๒๕๐๙ ระหว่างนายโกย ศรีทรง โจทก์ นายปุ่น เพ็ชรพูล จำเลย และเมื่อจำเลยไม่โต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายในชั้นฎีกา ก็ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share