แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายดาบตำรวจป. กับนางท. ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นการกระทำตามคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีเพื่อนำเงินที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราวในคดีที่กรมตำรวจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดไว้ในอีกคดีหนึ่งไปเฉลี่ยให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหากกรมตำรวจเจ้าหนี้ที่ขอยึดไว้ก่อนเห็นว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องดำเนินการคัดค้านไม่ให้จำเลยนี้เข้ามาเฉลี่ยทรัพย์การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา185หรือมาตรา187 นายดาบตำรวจป. กับนางท.ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยรู้ว่านางท.ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยแม้จะฟังว่านายก.หรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของนายดาบตำรวจป.กับนางท.แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปฟ้องเรียกเงินกู้อีกทั้งยังได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายมอบให้แก่นายก.ไปก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้วสัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้เมื่อไม่ปรากฎพฤติการณ์ร่วมมือกันระหว่างจำเลยกับนายดาบตำรวจป. อันส่อเจตนาเพื่อมิให้กรมตำรวจในฐานะเจ้าหนี้ของนายดาบตำรวจป.ได้รับชำระหนี้แล้วการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180, 185,187, 80, 264, 265, 350
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185, 187, 350 ประกอบด้วยมาตรา 80 กระทงหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 185 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปีรวมจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185 และมาตรา 187 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรมตำรวจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายดาบตำรวจประวัติกับพวกเป็นจำเลยในคดีแพ่งข้อหาละเมิดและเรียกเงินคืน ตามคดีหมายเลขดำที่ 1015/2530 ของศาลชั้นต้น ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของนายดาบตำรวจประวัติกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาเก็บไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ต่อมานายโกวิท โกศัลจิตร ทนายความได้ดำเนินการให้จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินเงินกู้คืนจากนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์โดยนำหลักฐานแห่งการกู้ยืมไปฟ้อง และคดีดังกล่าวได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนถึงขั้นขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของนายดาบตำรวจประวัติและนางทัศนีย์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1323/2534 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีดังกล่าว เป็นการกระทำตามคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีเพื่อนำเงินที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราวในคดีที่กรมตำรวจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดไว้ในอีกคดีหนึ่งไปเฉลี่ยให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากกรมตำรวจเจ้าหนี้ที่ขอยึดไว้ก่อนเห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องดำเนินการคัดค้านไม่ให้จำเลยนี้เข้ามาเฉลี่ยทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 หรือมาตรา 187
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และมาตรา 265 หรือไม่ ในข้อนี้นายดาบตำรวจประวัติเบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ยอมรับว่าพยานได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้กู้จริงโดยมีนายโกวิทนำแบบพิมพ์หนังสือกู้เงินตามเอกสารหมาย จ.4 มาให้ลงชื่ออ้างว่านางทัศนีย์ภริยาของพยานเป็นหนี้จำเลยจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินคนละครึ่งและพยานก็ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความตามเอกสารหมาย จ.1 มอบให้แก่นายโกวิทไปด้วย ขณะที่ลงลายมือชื่อทั้งเอกสารหมาย จ.1 และหมาย จ.4 ยังไม่ได้กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ดังกล่าว นางทัศนีย์ก็ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลยนำมาให้บุคคลอื่นกู้ต่อระยะหลังขาดส่งดอกเบี้ยให้จำเลย จำเลยให้พยานหาเงินมาคืน และนำสัญญากู้มาให้พยานลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ตามเอกสารหมาย จ.4ใช้ลายมือชื่อของพยานจริงโดยจำเลยบอกพยานว่าเป็นหนี้อยู่400,000 บาท ถึง 500,000 บาท ส่วนใบแต่งทนายความตามเอกสารหมาย จ.1 นายโกวิทนำมาให้พยานลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนาย จากคำเบิกความของนายตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์จะเห็นได้ว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยรู้ว่านางทัศนีย์ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย แม้จะฟังว่านายโกวิทหรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์ตามเอกสารหมาย จ.1 กับจ.4 แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปฟ้องเรียกเงินกู้ อีกทั้งยังได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายมอบให้แก่นายโกวิทไป ดังนี้ ก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้ว สัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอม การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
ปัญหาประการสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามบทมาตรานี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฎจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจประวัติพยานโจทก์ว่าขณะที่นายโกวิทนำแบบพิมพ์สัญญากู้มาให้ลงชื่อ นายโกวิทอ้างว่านางทัศนีย์เป็นหนี้เงินกู้จำเลย กำลังเดือดร้อน หากพยานลงชื่อแล้วจะช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินนางทัศนีย์คนละครึ่ง ซึ่งในข้อนี้นางทัศนีย์ก็ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลย และยังค้างชำระหนี้อยู่ใกล้เคียงกับจำนวนตามที่จำเลยฟ้องจริงแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้อยู่จริงนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์เป็นสามีภริยากันหากเป็นหนี้ร่วมก็ต้องรับชำระร่วมกัน เมื่อไม่ปรากฎพฤติการณ์ร่วมมือกันระหว่างจำเลยกับนายดาบตำรวจประวัติอันส่อเจตนาเพื่อมิให้กรมตำรวจในฐานะเจ้าหนี้ของนายดาบตำรวจประวัติได้รับชำระหนี้แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
พิพากษายืน