แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และสามีจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันและได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วนสัด เจ้าพนักงานได้บันทึกข้อตกลงไว้ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยก สามีจำเลยได้ตายลง ข้อตกลงของโจทก์และสามีจำเลยที่เจ้าพนักงานได้บันทึกไว้นี้ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแบ่งที่ดินกัน โจทก์จะปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเงิน พูนวงษ์ สามีจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 แปลงร่วมกันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2504 โจทก์ตั้งใจจะแบ่งที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้กับนายเงิน โดยแบ่งให้นายเงินมีส่วนมากกว่า เพราะนายเงินเป็นผู้รับหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูมารดา แต่ยังไม่ได้แบ่งแยก นายเงินได้ตายลง จำเลยไม่ได้เลี้ยงดูมารดาโจทก์ โจทก์จึงไม่ประสงค์แบ่งที่ดินส่วนข้างมากให้แก่จำเลยเหมือนดังที่เคยตั้งใจจะแบ่งให้นายเงิน จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งที่พิพาททั้ง 2 แปลง ให้โจทก์แปลงละครึ่ง
จำเลยให้การว่า เมื่อนายเงินตายจำเลยจึงได้ขอรับมรดกสวมสิทธิของนายเงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่พิพาททั้ง 2 แปลงให้โจทก์แปลงละครึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และนายเงินได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันตามส่วนและการตกลงนี้เจ้าพนักงานได้บันทึกให้โจทก์และนายเงินลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแบ่งที่ดินกันมีผลบังคับแล้ว ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 318/2496 การที่ยังมิได้จดทะเบียนแบ่งแยกโดยนายเงินได้ตายเสียก่อนนั้น โจทก์จะปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามหาได้ไม่โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทแปลงละครึ่ง แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าโจทก์ควรได้ไม่ถึงครึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาททั้ง 2 โฉนดให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์และนายเงินได้ยื่นคำขอและได้นำรังวัดแบ่งแยกไว้แล้ว