แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้นำสืบว่าครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเคยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินของรัฐ ถ้าการรังวัดผลปรากฏว่าอยู่ในที่ดินของโจทก์จำเลยยินยอมรื้อบ้านเรือนออกไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาครอบครองที่พิพาทเพื่อยึดถือเป็นของตน ไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่แรกเพราะเข้าใจว่า ที่ดินเป็นของรัฐหรือที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพียงต้องการอยู่อาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องคดีสามสำนวนศาลชั้นต้นให้รวมการพิจารณา คดีสำนวนแรกสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ถึงที่สุดไปแล้ว คงเหลือคดีสำนวนที่ 2 ที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ขึ้นสู่ศาลฎีกา ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ให้รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะของแผ่นดินหากฟังว่าเป็นที่ดินของโจทก์ ขอตัดฟ้องว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ให้รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะออกจากที่พิพาท
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดของโจทก์ ‘…ที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฎีกาอีกว่า ถ้าฟังว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดเลขที่ 1771 ของโจทก์จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยที่ 3ที่ 4 ที่ 5 นำสืบว่า ก่อนจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 จะเข้ามาปลูกบ้านและล้อมรั้วในที่พิพาทนั้นเดิมจำเลยที่ 3 ได้เช่าที่ดินของนางส้วนปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาเมื่อ 30 ปีมานี้นางซ้งหรือทรงแนะนำให้จำเลยที่ 3 ไปปลูกบ้านในที่พิพาทเพราะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ต้องเสียค่าเช่า หากหลวงต้องการต้องรื้อออกไป ต่อมาเมื่อ 18 ปีมานี้จำเลยที่ 4ซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยที่ 3 ได้แยกไปปลูกบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นสามีอยู่อาศัยมาจนปัจจุบัน จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 หาได้นำสืบว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใดไม่โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ที่ 5 เคยให้ถ้อยคำต่อนายสมพร ชาเรณ เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอผักไห่ตามเอกสารหมาย จ.17 ว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินของรัฐ ถ้าการรังวัดผลปรากฏว่าอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองก็ยินยอมรื้อบ้านเรือนออกไปจำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้ให้ถ้อยคำ แสดงว่าจำเลยดังกล่าวมิได้มีเจตนาครอบครองที่พิพาทเพื่อยึดถือเป็นของตนไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่แรกเพราะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของรัฐหรือที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพียงต้องการอยู่อาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 หากจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ได้ครอบครองปรปักษ์มาแต่แรกก็น่าจะโต้แย้งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอผักไห่บันทึกไว้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว แม้ผลการรังวัดอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยก็จะไม่ยอมรื้อถอนบ้านเรือนออกไป ดังนั้น จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน’
พิพากษายืน.