คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1296/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้วจึงจดทะเบียนสมรส ต่อมาหย่าขาดจากกัน โจทก์ออกเงินปลูกสร้างบ้านพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน บ้านพิพาทเป็นสินสมรส ขอให้บังคับจำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปลูกสร้าง ขอให้ยกฟ้อง คดีมีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้กึ่งหนึ่งหรือไม่ แม้พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบจะฟังไม่ได้ว่าบ้านพิพาทเป็นสินสมรส เนื่องจากมีการปลูกสร้างก่อนจดทะเบียนสมรส แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา โจทก์กับจำเลยร่วมกันปลูกสร้างบ้านพิพาทโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ถือไม่ได้ว่าเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือเกินไปกว่าคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง โดยนำบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 32357 ตำบลตาจั่น อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ออกขายและแบ่งเงินให้โจทก์ 579,785 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นบิดาจำเลย เป็นผู้อนุญาตให้ก่อสร้างบ้านพิพาท โดยผู้ร้องสอดเป็นผู้ออกเงินค่าปลูกสร้างบ้านพิพาท ก่อนที่โจทก์และจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกัน ขอให้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด
โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด
จำเลยให้การแก้คำร้องสอดขอให้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า บ้านเลขที่ 107 หมู่ที่ 8 ตำบลตาจั่น อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลย ให้โจทก์และจำเลยแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่ง ถ้าการแบ่งเช่นนี้ไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนัก ก็ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลย หรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งปันกัน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกคำร้องสอด ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำร้องสอดให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 และจดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องในสาระสำคัญว่าโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย หลังจากนั้นจึงจดทะเบียนสมรสและต่อมาจึงหย่าขาดจากกัน โจทก์ออกเงินปลูกสร้างบ้านพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน บ้านพิพาทเป็นสินสมรส เมื่อหย่าขาดจากกันแล้ว ขอให้บังคับจำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปลูกสร้าง ขอให้ยกฟ้อง คดีมีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้กึ่งหนึ่งหรือไม่ แม้พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบจะฟังไม่ได้ว่าบ้านพิพาทเป็นสินสมรส เนื่องจากมีการปลูกสร้างก่อนจดทะเบียนสมรส แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา โจทก์กับจำเลยร่วมกันปลูกสร้างบ้านพิพาทโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแบ่งบ้านพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ถือไม่ได้ว่าเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือเกินไปกว่าคำขอ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยเป็นเพียงรายละเอียด ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share