แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีความผิดฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตยักยอกทรัพย์ความว่า จำเลยได้รับเงินผลประโยชน์ไว้ตามหน้าที่ราชการในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2495 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2497 รวมเป็น 219,310 บาท 95 สตางค์ แล้วในระหว่างนั้นเวลากลางวัน จำเลยได้ยักยอกเอาไว้เป็นประโยชน์ตนเองเสีย 2,357 บาท 89 สตางค์ จำเลยจะได้รับเงินกี่คราวและวันไหนบ้างเป็นรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งโจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกให้ปรากฏได้ และจำเลยจะยักยอกเอาเงิน 2,357 บาท 89 สตางค์นั้นไปกี่คราว วันไหนบ้าง เป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกได้เช่นเดียวกัน ดังนี้ ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้อำนาจ และตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตและยักยอกทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่อธิบาดีผู้พิพากษาภาค ๔ ทำความเห็นแย้งว่า ควรฟังคำพยานให้สิ้นกระแสร์ความเสียก่อนจึงพิพากษา
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ เพราะจำเลยเข้าใจแล้วว่า โจทก์หาว่าจำเลยได้รับเงินผลประโยชน์ไว้ ตามหน้าที่ราชการในระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๕ ถึงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๙๗ รวมเป็นจำนวน ๒๑๙,๓๑๐ บาท ๙๕ สตางค์แล้วในระหว่างนั้นเวลากลางวัน จำเลยได้ยักยอกเอาไว้เป็นประโยชน์ตนเองเสีย ๒,๓๕๗ บาท ๘๙ สตางค์ จำเลยจะได้รับเงินกี่คราวและวันไหนบ้าง เป็นรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งโจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกให้ปรากฏได้ และจำเลยจะยักยอกเอาเงิน ๒,๓๕๗ บาท ๘๙ สตางค์นั้นไปกี่คราว วันไหนบ้าง ก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกได้เช่นเดียวกัน
พิพากษายืน