คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขนข้าวสารลงเรือยังไม่หมด การพยายามกระทำผิดต้องผ่านการตระเตรียมมาก่อน ฟ้องว่าพยายามขนย้ายข้าว จึงรวมถึงตระเตรียมด้วย อันเป็นความผิดในตัวเอง ศาลลงโทษตาม พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2517 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยนี้กับพวกอีก 2 คน ได้บังอาจร่วมกันทำการขนย้ายข้าวสารเจ้าชนิด 5 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 10 กระสอบ หนัก 1,000 กิโลกรัมบรรทุกลงเรือยนต์ประมงชื่อตวงเงิน ซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ริมแม่น้ำตราดตำบลวังกระแจะ อำเภอเมือง จังหวัดตราด เพื่อออกนอกเขตห้ามขนย้ายไปตามลำน้ำและทางทะเลออกไปยังเกาะภูต และเกาะช้าง ซึ่งต้องแล่นผ่านออกไปตามลำน้ำแม่น้ำตราด และออกไปสู่ทะเลซึ่งติดต่อกับเขตแดนประเทศสาธารณรัฐเขมร ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับหนังสืออนุญาตจากคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว ฉบับที่ 103พ.ศ. 2517 เรื่องการควบคุมข้าวและกำหนดเขตห้ามขนย้ายข้าว ข้อ 7 ซึ่งจำเลยทราบประกาศดังกล่าวแล้ว เนื่องจากขณะที่จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เนื่องจากขณะที่จำเลยนี้กับพวกกำลังขนย้ายข้าวสารลงเรือยนต์ เจ้าพนักงานได้พบเห็นและจับกุมจำเลยกับพวกเสียก่อน จำเลยกับพวกจึงทำการขนย้ายข้าวสารออกนอกเขตห้ามขนย้ายไปทางน้ำและทางทะเล ซึ่งติดต่อกับเขตแดนประเทศสาธารณรัฐเขมรไม่ได้สมเจตนา เหตุเกิดที่ตำบลวันกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้า พ.ศ. 2489 มาตรา 3, 4, 10, 13, 13 ทวิ(1) พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6 ประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว ฉบับที่ 103 พ.ศ. 2517 เรื่องการควบคุมข้าวและกำหนดเขตห้ามขนย้ายข้าวลงวันที่ 4 มกราคม 2517 ข้อ 5, 6, 7 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 7, 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 กับให้ริบข้าวสารเจ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและเรือยนต์ที่ใช้บรรทุกของกลางกับจ่ายเงินสินบนนำจับและเงินรางวัลให้แก่ผู้แจ้งความนำจับและพนักงานผู้จับตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1042/2517 ของศาลจังหวัดตราดด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและรับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1042/2517 จริง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงแต่ตระเตรียมกระทำความผิดโดยยังไม่ถึงขั้นพยายามกระทำความผิด แต่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำความผิด โดยไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานตระเตรียมกระทำความผิด จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยถึงขั้นพยายามกระทำความผิดและฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษฐานตระเตรียมกระทำความผิดด้วยเพราะกฎหมายบัญญัติถึงการกระทำความผิดในฐานพยายามหรือตระเตรียมกระทำความผิดไว้ในมาตรา 13 ทวิ(1) วรรคเดียวกัน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงตระเตรียมกระทำความผิด และพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา13 ทวิ(1) บัญญัติว่า “…….ผู้ใดพยายามหรือตระเตรียมกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขต ซึ่งคณะกรรมการประกาศกำหนด เพื่อไปทางทะเลมีความผิดต้องระวางโทษดุจเดียวกับที่บัญญัติไว้สำหรับผู้กระทำความผิด” การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดและต้องระวางโทษดุจเดียวกันผู้กระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตห้ามขนย้ายทางทะเลโดยไม่ได้รับหนังสืออนุญาต พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา10, 13 ทวิ(1) พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6 ประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวฉบับที่ 103 พ.ศ. 2517เรื่องการควบคุมข้าวและกำหนดเขตห้ามขนย้ายข้าวลงวันที่ 4 มกราคม 2517 ข้อ 5,6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ จำคุกจำเลย 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 5 ปี ของกลางริบ จ่ายเงินสินบนนำจับและเงินรางวัลให้แก่ผู้แจ้งความนำจับและเจ้าพนักงานผู้จับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7, 8 กับให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาแดงของศาลจังหวัดตราดที่ 1042/2517

จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่ถึงขั้นพยายามกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเล การกระทำของจำเลยเป็นเพียงตระเตรียมกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเล แต่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานตระเตรียมกระทำความผิด คงประสงค์ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำความผิดเท่านั้น จึงลงโทษจำเลยไม่ได้

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันขนย้ายข้าวสารลงเรือประมงชื่อตวงเงินที่ท่าเรือสุรีย์ไป 3 กระสอบแล้วและกองอยู่บนท่าเรือสุรีย์อีก 7 กระสอบ ซึ่งจำเลยกับพวกยังขนลงเรือไม่ทันก็ถูกจับกุมคดีนี้ ท่าเรือสุรีย์อยู่ริมแม่น้ำตราด หากใช้เรือประมงแล่นจากท่าเรือนี้ไปตามลำแม่น้ำตราดอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเศษจึงจะออกสู่ทะเลได้ ข้าวสารทั้ง 10 กระสอบเป็นของจำเลยจะนำไปฝากญาติที่เกาะกุดและเกาะช้าง ซึ่งห่างเขตน่านน้ำประเทศสาธารณรัฐเขมรประมาณ 1 กิโลเมตร ประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวฉบับที่ 103 พ.ศ. 2517 ข้อ 6 มีความว่า “เขตห้ามขนย้ายข้าวแต่ละเขตซึ่งได้กำหนดไว้ในประกาศฉบับนี้ เขตใดมีเขตติดต่อกับต่างประเทศหรือทะเล ถ้าด้านติดต่อกับต่างประเทศหรือทะเลนั้นในตอนใดเป็นทางน้ำหรือทะเลให้ถือว่าเขตห้ามขนย้ายข้าวมีกำหนดเพียงชายตลิ่งหรือชายฝั่ง แล้วแต่กรณี” และตามประกาศดังกล่าวข้อ 7 มีข้อความว่า “….ห้ามมิให้ขนย้ายข้าวไปทางทะเลหรือทางลำน้ำซึ่งติดต่อกับชายแดนต่างประเทศ…….” ซึ่งจำเลยได้ทราบประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวดังกล่าวแล้ว

คดีมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ถึงขั้นพยายามกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเลดังที่โจทก์ฟ้อง แต่เห็นเพียงการตระเตรียมกระทำความผิด ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานตระเตรียมกระทำความผิดได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยพยายามกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเลซึ่งติดต่อกับชายแดนต่างประเทศก็ดี แต่การกระทำความผิดฐานพยายามนั้น ก่อนจะถึงขั้นพยายามได้จะต้องผ่านการกระทำที่เรียกว่าตระเตรียมก่อน ฉะนั้นจึงถือได้ว่าความผิดตามฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง คือรวมการกระทำขั้นตระเตรียมด้วย และการตระเตรียมขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเลนั้น ตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าพ.ศ. 2489 มาตรา 13 ทวิ(1) บัญญัติว่า “…..ผู้ใดพยายามหรือตระเตรียมกระทำความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขต ซึ่งคณะกรรมการประกาศกำหนด เพื่อไปทางทะเล….. มีความผิดต้องระวางโทษดุจเดียวกับที่บัญญัติไว้สำหรับผู้กระทำความผิด” ฉะนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการตระเตรียมขนย้ายข้าวออกนอกเขตไปทางทะเลซึ่งติดต่อกับชายแดนต่างประเทศอันเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานตระเตรียมกระทำความผิดนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย กรณีหาใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษดังที่จำเลยฎีกาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share