แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินดังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไป การที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าโจทก์มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินหรือไม่ ไม่พอให้ถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องศาลจึงชอบที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 50 ไร่ โดยซื้อจากนายแสวง รุจาคม เมื่อ พ.ศ. 2518 แล้วเข้าทำประโยชน์และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2519 จำเลยทำละเมิดและโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินดังกล่าว อ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ตามสำเนาบันทึกท้ายฟ้องหมายเลข 2 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเพิกถอนคำสั่งตามบันทึกหมาย 2
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยพลการ จึงถือว่าที่ดินพิพาทเป็นของรัฐ จำเลยย่อมมีอำนาจสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินนั้นได้ ทั้งโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ ในเมื่อโจทก์ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด ศาลก็ไม่อาจที่จะสั่งตามที่โจทก์ขอได้ จึงให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์และดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไป การที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าโจทก์มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินหรือไม่นั้น ไม่พอให้ถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องไว้พิจารณาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน