คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันถูกต้องตามกฎหมาย กำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี ในวันครบกำหนดได้ตกลงขยายการไถ่ถอนกันด้วยปากเปล่าต่อไป 1 ปี ครั้งครบกำหนดได้ตกลงทำหนังสือว่ายอมให้ต่อการไถ่ถอนกันไปอีก 1 ปี ต่อมาภายในกำหนดเวลาไถ่ถอนครั้งที่ 2 ผู้ขายฝากไปขอไถ่ถอน ดังนี้ ถือว่าข้อตกลงนั้นเป็นการขยายเวลาไถ่ถอนการขายฝาก ไม่ใช่เป็นเรื่องคำมั่นจะขายทรัพย์ที่ขายฝาก
เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอนการขายฝาก จะตกลงขยายเวลาการขายฝากในภายหลังไม่ได้ ขัดต่อป.พ.พ. มาตรา 496

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๑๓ ส.ค. ๙๖ โจทก์ขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่จำเลยมีกำหนด ๑ ปี โดยทำกันต่อ
พนักงานหอทะเบียนจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ ๑๓ ส.ค.๙๗ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญา โจทก์ไม่มีเงินไถ่ถนอน จำเลยตกลงต่ออายุสัญญาขายฝากให้กับโจทก์อีก ๑ ปี ครบกำหนด โจทก์ยังหาเงินไม่พอมาไถ่ถอนได้ ในวันที่ ๑๓ ส.ค. ๙๘ จำเลยและสามีของจำเลยได้ทำหนังสือต่ออายุสัญญาให้อีก ๑ ปี ในระหว่างที่ต่ออายุสัญญาครั้งที่ ๒ นี้โจทก์ได้นำเงินมาชำระให้จำเลยเรื่อย ๆ คงค้างชำระเพียง ๑๑,๐๐๐ บาท โจทก์นำเงินที่ค้างดังกล่าวไปชำระให้จำเลยและให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับเงิน โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าโจทก์ขอต่ออายุสัญญาขายฝาก เมื่อพ้น กำหนดไถ่ถอนแล้ว ๒๐ วัน จำเลยได้บอกให้โจทก์เอาเงินคืนเต็มจำนวนตามที่ขายฝาก แล้วทำการขายฝากกันใหม่ โจทก์ตกลง จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาให้โจทก์เป็นคำมั่นว่าจะให้ต่ออายุ ต่อมาโจทก์มาบอกว่า ไม่มีเงินลไถ่ถอน จึงเป็นอันไม่มีการไถ่ถอน และที่จำเลยและสามีจำเลยทำหนังสือให้โจทก์ในวันที่ ๑๓ ส.ค. ๙๘ นั้น เพราะบุตรโจทก์มาหลอกลวงและโจทก์ไม่เคยเอาเงินมามอบให้จำเลย
ในวันชี้สองสถาน คูความยอมรับกันว่า ในวันที่ ๑๓ ส.ค. ๙๗ โจทก์จำเลย ได้ตกลงขยายอายุการไถ่ถอนการขายฝากรายนี้ไปอีก ๑ ปี โดยตกลงกันด้วยปากเปล่า และต่อมาวันที่ ๑๓ ส.ค. ๙๘ โจทก์จำเลยตกลงต่ออายุการไถ่ถอนไปอีก ๑ ปี คือวันที่ ๑๓ ส.ค. ๙๙ ซึ่งจำเลยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อไว้ ส่วนข้อเท็จจริงนอกจากนี้คู่ความโต้เถียงกัน
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานวินิจฉัยว่าการขยายต้องห้ามตามป.พ.พ. มาตรา ๔๙๖ โจทก์จึงไม่มีสิทธิไถ่ถอน พิพากษายกฟ้องโจทก์
อธิบดีผู้พิพากษา ภาค ๕ เห็นว่า เอกสารที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้นั้นไม่เป็นการไถ่ถอนการขายฝาก เพราะล่วงเลยกำหนดเวลาไถ่มา ๑ ปีแล้ว จึงไม่มีอะไรมาขยายกันต่อไป เมื่อพิจารณาประกอบฟ้องและคำให้การโดยอาศัยหลักการตีความ เป็นเรื่องจำเลยให้คำมั่นกับโจทก์โดยจะยอมขายที่ดินที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยเด็ดขาดในราคาเท่าที่จำเลยซื้อไว้ คดีจึงควรต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า ตามที่คู่ความแถลงรับกัน แสดงว่าเป็นเรื่องการตกลงขยายเวลาการใช้สิทธ์ไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากกัน ไม่ใช่คำมั่นจะขายทรัพย์ที่ขายฝากซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยเด็ดขาดแล้วให้แก่โจทก์ การที่คู่ความตกลงกันอยู่ในหลักเกณฑ์เรื่องการขายฝาก จึงต้องพิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยการขายฝาก เมื่อฟังว่าเป็นการตกลงขยายเวลาไถ่ จึงเป็นการขัดต่อป.พ.พ. มาตรา ๔๙๖

Share