คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12898/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถ 1,190,000 บาท เมื่อรวมกับค่าบริการยกรถ 18,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล 39,944 บาท แล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมรับผิดต่อโจทก์ 1,208,000 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะผลรวมของค่าเสียหายทั้งสามจำนวนที่ถูกต้องคือ 1,247,944 บาท เป็นการรวมจำนวนค่าเสียหายและพิพากษาไม่ตรงกับข้อวินิจฉัย กรณีดังกล่าวเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย แม้จำเลยทั้งสามฎีกาเพียงฝ่ายเดียว ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143 ประกอบมาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 1,249,275 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 416,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,208,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (ที่ถูก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น) ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนายวิเชียรคนขับรถบรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เพียงฝ่ายเดียวหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายวิเชียรและนายพิสิษฐ์ยืนยันว่า หลังจากชนท้ายรถบรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับแล้ว รถบรรทุกที่นายวิเชียรขับเกิดเสียหลักพุ่งลงข้างทางจอดอยู่ห่างจากทางเข้าออกของบริษัททวีศิลป์ปาล์มออยล์อินดัสทรีย์ จำกัด ประมาณ 30 เมตร โดยพันตำรวจโทปัญญา พนักงานสอบสวนที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุก็ยืนยันว่า รถบรรทุกที่นายวิเชียรเป็นคนขับจอดอยู่ห่างจากปากทางเข้าบริษัททวีศิลป์ปาล์มออยล์อินดัสทรีย์ จำกัด ประมาณ 30 เมตร ซึ่งเจือสมกับพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าว ทั้งนี้พันตำรวจโทปัญญายังสันนิษฐานว่าจุดเฉี่ยวชนคือบริเวณหมายเลข (3) ซึ่งอยู่ติดกับรถบรรทุกที่นายวิเชียรขับตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเนื่องจากเป็นจุดที่พบเศษอุปกรณ์รถ กล่องกระดาษบรรจุเครื่องดื่มชูกำลังตกอยู่บนถนนที่เกิดเหตุ พันตำรวจโทปัญญาเป็นเจ้าพนักงานของรัฐไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดจึงเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เชื่อว่าจุดเฉี่ยวชนอยู่ห่างจากทางเข้าออกของบริษัททวีศิลป์ปาล์มออยล์อินดัสทรีย์ จำกัด เพียงประมาณ 30 เมตร ที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเอเซีย 41 ไปได้ประมาณ 100 เมตร จึงถูกชนนั้นจึงขัดกับคำเบิกความของพันตำรวจโทปัญญา และขัดกับแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงเลื่อนลอยและไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อคำนึงถึงสภาพรถบรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับในวันเกิดเหตุซึ่งตัวรถมีความยาวทั้งหมดประมาณ 15 เมตร และเกิดการชนท้ายกันในบริเวณที่อยู่ห่างจากปากทางเข้าออกของบริษัททวีศิลป์ปาล์มออยล์อินดัสทรีย์ จำกัด เพียง 30 เมตร ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวซ้ายออกมาในระยะกระชั้นชิด ลักษณะเป็นการตัดหน้ารถบรรทุกที่นายวิเชียรขับมา ทำให้นายวิเชียรไม่สามารถหยุดรถได้ทันและพุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับ อันเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 1 แล้ว แม้ลักษณะการชนจะเป็นการชนโดยแรงถึงขนาดรถบรรทุกที่นายวิเชียรขับเสียหลักตกลงข้างทาง และส่วนด้านหน้ารถบรรทุกได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถซ่อมได้และต้องเปลี่ยนหัวเก๋งของรถบรรทุกใหม่ตามที่ได้ความจากนายสมยศ พนักงานโจทก์ ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุและประเมินความเสียหายก็ตาม แต่รถบรรทุกคันเกิดเหตุทั้งสองคันต่างก็เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งขณะเกิดเหตุนายวิเชียรขับรถบรรทุกสินค้ามาเต็มคันรถมีน้ำหนักรถและสินค้ารวมประมาณ 42 ตัน หากจะหยุดรถจะต้องใช้ระยะทางพอสมควร จึงจะหยุดรถได้สนิท การที่จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกและส่วนพ่วงตัดหน้ารถบรรทุกคันที่นายวิเชียรขับในระยะเพียง 15 เมตร นายวิเชียรย่อมไม่อาจหยุดรถได้ทัน และการชนท้ายกันย่อมทำให้เกิดความเสียหายมากเป็นธรรมดา ทั้งเมื่อคำนึงถึงการใช้ความเร็วในขณะเกิดเหตุ ซึ่งนายวิเชียรยืนยันว่าตนใช้ความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องและใกล้เคียงกับกราฟความเร็วที่ได้จากกล่องดำบันทึกการใช้งานระบบดาวเทียมติดตามที่ติดตั้งไว้กับรถบรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัย ซึ่งปรากฏว่าช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุจนถึงขณะเกิดเหตุ นายวิเชียรใช้ความเร็วไม่เกิน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยก่อนที่เครื่องยนต์จะดับลงในเวลา 10.38 นาฬิกา นายวิเชียรใช้ความเร็วสูงสุดเพียง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น แม้กราฟแสดงความเร็วของรถไม่อาจบ่งบอกลักษณะของคนขับได้ว่าขับรถโดยประมาทหรือไม่ดังที่จำเลยทั้งสามฎีกาก็ตาม แต่การขับรถโดยใช้ความเร็วเท่าใดก็มีส่วนสำคัญในการที่จะพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุคนขับรถมีส่วนในการประมาทหรือไม่ เมื่อปรากฏว่านายวิเชียรใช้ความเร็วขณะเกิดเหตุไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่ใช่การขับรถโดยประมาทโดยใช้ความเร็วสูงดังที่จำเลยทั้งสามฎีกา ซึ่งเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ หากจำเลยที่ 1 ไม่ขับรถพุ่งออกมาตัดหน้าในระยะกระชั้นชิดแล้ว เหตุเฉี่ยวชนกันก็คงจะไม่เกิดขึ้น เหตุที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยในประเด็นค่าเสียหายว่ากำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าซ่อมแซมรถให้ 1,190,000 บาท เมื่อรวมกับค่าบริการยกรถ 18,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล 39,944 บาท แล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมรับผิดต่อโจทก์ 1,208,000 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะผลรวมของค่าเสียหายทั้งสามจำนวนที่ถูกต้อง คือ 1,247,944 บาท เป็นการรวมจำนวนค่าเสียหายและพิพากษาไม่ตรงกับข้อวินิจฉัย กรณีดังกล่าวเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย แม้จำเลยทั้งสามฎีกาเพียงฝ่ายเดียว ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 และคดีนี้โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงเกินคำขอของโจทก์ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,247,944 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share