คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้างบุกเบิก แผ้วถาง ที่ดินอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ไดรับอนุญาต ย่อมมีขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ายึดถือครอบครอง และยงคงมีอยู่ตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองที่ดินแปลงนี้ ส่วนความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อพ้นกำหนดหลังจากวันที่เจ้าพนักงานสั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดิน ความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจึงต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครอง หาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๙๘ จำเลยทั้งสองได้สมคบร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง บุกเบิก แผ้วถาง ทำนา และทำไร่ในบริเวณที่ดินห้วยหินสูง อันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ โดยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ดังปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องสีแดงโดยจำเลยบังอาจยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาจนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๐๗ นายคำบุ เหมลา ปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอได้มีคำสั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินดังกล่าวภายใน ๓๐ วัน จำเลยได้ขัดคำสั่งและไม่ปฏิบัติตาม ยังคงร่วมกันยึดถือครองครอง เรื่องขัดคำสั่งนั้นพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับจำเลยไปแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๙,๑๐๘ และสั่งห้ามไม่ให้จำเลยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่า ข้อหาฐานยึดถือครองครองที่พิพาทคือข้อหาในคดีนี้เป็นความผิดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองมาจนบัดนี้ ระหว่างที่จำเลยกระทำผิดในข้อหาดังกล่าว เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาท แต่จำเลยขัดขืนไม่ยอมออก จึงเกิดเป็นความผิดฐานขัดคำสั่งอีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพียงครั้งเดียวหรือกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อจำเลยถูกพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๗,๓๘ สิทธิที่โจทก์จะนำข้อหาฐานยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๓) พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องนั้น ความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองที่พิพาทโดยมิได้รับอนุญาตได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ขณะที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๙๘ และยังบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทตลอดมา การกระทำผิดของจำเลยจึงดำเนินเรื่อยมาตลอดระยะเวลานั้น ส่วนความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน หลังจากวันที่เจ้าพนักงานสั่ง จะถือว่าเป็นกรรมเดียวกันหาได้ไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามที่เห็นสมควร แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองมีลักษณะเดียวกันทั้งต่อเนื่องกัน จึงถือว่าเป็นกรรมเดียวกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าหากฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ว ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองบริเวณที่ดินห้วยหินสูงอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ได้รับอนุญาตตั้งแกต่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๔๙๘ และความผิดของจำเลยดังกล่าวยังคงมีอยู่ตลอดระยะเวลาที่จำเลยยังครอบครองที่ดินแปลงนี้ ส่วนความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน หลังจากวันที่นายคำบุปลัดอำเภอสั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินแปลงนี้ ความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจึงต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครอง หาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่
พิพากษายืน

Share