คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองกับพวกใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะอย่างเป็นการถือวิสาสะเพราะเป็นญาติกันมิใช่ใช้เป็นทางเดินอย่างปรปักษ์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทางพิพาทจึงไม่เป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
การที่ทางสัญจรส่วนบุคคลจะแปรสภาพไปเป็นทางสาธารณะตามกฎหมายในกรณีอื่นที่มิใช่เจ้าของแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งอุทิศหรือยกให้เป็นทางสาธารณะจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า เจ้าของทางยินยอมให้ประชาชนอื่นๆ ทั่วไปที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวกับเจ้าของไม่ว่าในทางใดๆ ใช้ทางได้อย่างอิสรเสรีโดยไม่มีการทักท้วงและแสดงออกซึ่งการหวงกันอย่างเป็นเจ้าของ การที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่านอกจากโจทก์ทั้งสองและ ถ. แล้ว ยังมีผู้อยู่อาศัยอีก 6 หลังคาเรือนซึ่งมิใช่ญาติของ พ. ใช้ทางพิพาทโดยไม่ต้องขออนุญาตก่อนและรวมถึง ค. หรือคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ พ. ในฐานะเพื่อนบ้านละแวกเดียวกันที่มีความจำเป็นต้องใช้ทางเข้าออกที่สะดวกกว่าสู่ทางสาธารณะ โดยเฉพาะที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของ ค. ก็เป็นที่ดินที่ พ. แบ่งแยกขายให้ โดยไม่ปรากฏว่ามีประชาชนทั่วๆ ไปจากหมู่บ้านตำบลอื่นๆ มาใช้ทางพิพาทด้วย การใช้ทางของบุคคลเหล่านี้จึงเป็นการใช้ในลักษณะเป็นการถือวิสาสะส่วนตัวเช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสองและ ถ. ดังนี้ ทางพิพาทในที่ดินของ พ. และตกทอดมาถึงจำเลยจึงยังเป็นทางส่วนบุคคลอยู่ จำเลยในฐานะเจ้าของย่อมมีสิทธิหวงกันด้วยการถมดินและล้อมรั้วลวดหนามได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 13,500 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และค่าเสียหายเดือนละ 1,500 บาท ต่อคนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเปิดทางเดินและปรับปรุงสภาพทางเดินให้ใช้ได้เหมือนเดิมและพิพากษาว่าทางเดินขนาดกว้าง 3.80 เมตร 4 เมตร และ 3.80 เมตร ตามลำดับยาว 75 เมตร เป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอม หรือทางใดๆ อันเป็นประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยนำคำพิพากษาไปยื่นคำขอจดทะเบียนทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมหรือทางอื่นใดตามคำพิพากษาลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) เลขที่ 1502 หากไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยรื้อถอนรั้วหรือสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นกีดขวางออกไปให้พ้นทางเดิน กับให้จำเลยปรับปรุงพื้นที่ทางเดินให้ใช้ได้ดีเช่นเดิม
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์ที่ 2 เป็นมารดาของโจทก์ที่ 1 นางสมยศและนางสนิทอีกทั้งยังเป็นภรรยาของนายถนอม ส่วนนายถนอมเป็นพี่ชายของนางน้ำ ซึ่งเป็นภรรยาของนายพวง โจทก์ที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและพักอาศัยอยู่ในที่ดินตามหนังสืบรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 66 โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน 2 แปลง ที่อยู่ติดกันขึ้นไปทางเหนือคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 316 ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวแบ่งแยกออกมาจากการที่นายถนอมนำที่ดินแปลงหมายเลข 226/124 ที่ได้มาจากการแบ่งขายที่ดินของนายพวงมารวมกับที่ดินของตนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 66 ที่ได้รับการตกทอดมา จากนั้นนายถนอมได้ขอแบ่งแยกใหม่ออกเป็นสามแปลงดังกล่าวข้างต้น โดยให้ที่ดินแปลงเหนือสุดที่แบ่งแยกออกไปตาม น.ส.3 เลขที่ 315 ตกได้แก่นางสมยศ บุตรสาว และได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ส่วนแปลงที่สองถัดต่ำลงมาและแบ่งแยกออกไปตาม น.ส.3 เลขที่ 316 ตกได้แก่นางสนิท บุตรสาวอีกคน และได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยเช่นกัน ส่วนแปลงที่สามที่เหลืออยู่ถัดต่ำลงมาอีกนั้นตาม น.ส.3 เลขที่ 66 ตกได้แก่โจทก์ที่ 1 และได้พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 103 เดิมของนายพวง ผู้แบ่งขาย ต่อมาที่ดินแปลงที่หนึ่งและที่สองที่แยกออกไปดังกล่าวตกได้แก่โจทก์ที่ 2 ตลอดมาจึงถึงวันฟ้องคดีนี้ ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวมีทางออกสู่ทางสาธารณะถนนสุขาภิบาล 4 ซอย 1 เจ้าของที่ดินไม่มีสิทธิร้องขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงอื่นซึ่งรวมถึงที่ดินของจำเลยที่ล้อมอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1502 โดยซื้อมาจากนายอรรณพ และนายเธียร ซึ่งแต่เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นของนายพวง แบ่งแยกออกมาจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 124 แล้วนายพวงได้ขอรังวัดเปลี่ยนเป็นเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. และแบ่งแยกด้วย หลังจากได้สิทธิในที่ดินมาแล้ว จำเลยได้นำดินมาถมเต็มพื้นที่และล้อมรั้วปิดกั้นล้ำทับเข้าไปในทางพิพาทมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า ทางพิพาทตามแนวเขตในรูปแผนที่พิพาทกลางที่จัดทำขึ้นดังกล่าวเป็นทางภาระจำยอมโดยการปรปักษ์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ โดยกล่าวยกขึ้นอ้างมาในฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองและนายถนอม บิดาโจทก์ที่ 1 และเป็นสามีของโจทก์ที่ 2 ด้วย ได้ใช้ทางพิพาทดังกล่าวเข้าออกสู่ทางสาธารณะสายบ้านไร่-หนองสังข์ (สายตลาดลาดยาว-หนองสังข์) โดยผ่านที่ดินของนายพวงทางด้านทิศใต้ (ปัจจุบันเป็นที่ดินของจำเลย) มาตั้งแต่ครั้งมีที่ดินเพียงแปลงเดียวตามหนังสือแสดงสิทธิครอบครองที่ดินเลขที่ 66 และขอเปลี่ยนเป็นเอกสารสิทธิ น.ส.3 เลขที่ 66 ตลอดมาเป็นเวลานานถึง 30 ปี โดยนายพวงไม่ได้ว่ากล่าวหวงห้ามจนเป็นทางภาระจำยอมแล้วและได้อ้างคำเบิกความของนายสมศักดิ์ กำนันท้องที่ที่มาเบิกความเป็นพยานจำเลยสนับสนุนข้อนี้ด้วยนั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายสมศักดิ์ พยานจำเลยดังกล่าวได้ความแต่เพียงว่า มีทางเดินเท้าริมลำเหมืองกว้างประมาณวาครึ่งและบางตอนกว้างประมาณ 2 วา โจทก์ทั้งสองและนายถนอม ใช้ทางเดินเท้าดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะเท่านั้น พยานไม่ได้เบิกความยืนยันว่า ทางเท้าดังกล่าวอยู่ในแนวเขตที่ดินของนายพวงและหรือเป็นส่วนหนึ่งของทางพิพาทแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังมาสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ทั้งสองกับพวกว่าเป็นการเดินอย่างปรปักษ์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองดังที่นำสืบและอุทธรณ์ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับฟังต้องกันมาว่า โจทก์ทั้งสองกับพวกใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะอย่างเป็นการถือวิสาสะเพราะเป็นญาติกันมิใช่เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองชอบแล้วฎีกาประการต่อมาว่า ทางพิพาทดังกล่าวแปรสภาพเป็นทางสาธารณะแล้วหรือไม่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างยกขึ้นฎีกาว่า นอกจากจะเป็นผู้เปิดทางและอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองและนายถนอมซึ่งเป็นญาติพี่น้องใช้แล้ว นายพวงเจ้าของที่ดินทางพิพาทในขณะนั้นยังยินยอมให้ชาวบ้านอื่นทั่วไปใช้สัญจรได้โดยไม่หวงห้าม เช่น ชาวบ้าน 6 หลังคาเรือนนั้น เห็นว่า การที่ทางสัญจรส่วนบุคคลจะแปรสภาพไม่เป็นทางสาธารณะตามกฎหมายในกรณีอื่นที่มิใช่เจ้าของแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งอุทิศหรือยกให้เป็นทางสาธารณะตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกานั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า เจ้าของทางดังกล่าวยินยอมให้ประชาชนอื่นๆ ทั่วไปที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวกับเจ้าของไม่ว่าในทางใดๆ ใช้ทางดังกล่าวได้อย่างอิสรเสรีโดยไม่มีการทักท้วงและแสดงออกซึ่งการหวงกันอย่างเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ดังนี้ การที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า นอกจากโจทก์ทั้งสองและนายถนอมแล้ว ยังมีผู้อยู่อาศัยอีก 6 หลังคาเรือนซึ่งมิใช่ญาติของนายพวงใช้ทางพิพาทดังกล่าว โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อนและรวมถึงนางคำนวณหรือคนอื่นๆ และตามที่จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ด้วยนั้น ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายพวงในฐานะเพื่อนบ้านละแวกเดียวกันที่มีความจำเป็นต้องใช้ทางเข้าออกที่สะดวกกว่าสู่ทางสาธารณะถนนสายบ้านไร่-หนองสังข์ โดยเฉพาะที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของนางคำนวณก็เป็นที่ดินที่นายพวงแบ่งแยกขายให้ โดยไม่ปรากฏว่ามีประชาชนทั่วๆ ไปจากหมู่บ้านตำบลอื่นๆ มาใช้ทางพิพาทดังกล่าวด้วย การใช้ทางพิพาทของบุคคลเหล่านี้จึงเป็นการใช้ในลักษณะเป็นการถือวิสาสะส่วนตัวเช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสองและนายถนอม ดังนี้ ทางพิพาทดังกล่าวในที่ดินของนายพวงและตกทอดมาถึงจำเลยจึงยังเป็นทางส่วนบุคคลอยู่ จำเลยในฐานะเจ้าของย่อมมีสิทธิหวงกันด้วยการถมดินและล้อมรั้วลวดหนามได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ส่วนฎีกาข้ออื่นๆ ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจกท์ทั้งสองต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share