คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรกนั้น อาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้
บันทึกคำให้การพยานที่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์คดีนี้จริงและยังมิได้ชำระหนี้คืนนั้น เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ การกู้ยืมไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน๙๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ ต่อมาจำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๔๑๒/๒๕๒๗ ของศาลอาญาธนบุรีว่า จำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากโจทก์คดีนี้จริงและยังมิได้ชำระหนี้คืนปรากฏตามภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๗ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า เอกสารหมาย จ.๗ ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคแรก บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ศาลฎีกาเห็นว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมที่จะนำมาฟ้องคดีนั้นอาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้ สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยคำให้การพยานที่จำเลยเบิกความไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๑๒/๒๕๒๗ ของศาลอาญาธนบุรี เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม คำให้การพยานเอกสารหมายจ.๗ ดังกล่าวซึ่งจำเลยให้การด้วยความสมัครใจเอง จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยต้องรับผิดใช้คืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
พิพากษายืน.

Share