แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
+ของโจทก์จำเลยโดน+แต่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ประมวลวิธีพิจารณาอายา ม.46,47 ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.1 (11) โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายในการที่รถจำเลยชนรถโจทก์ปรากฎว่าก่อนฟ้องคดีนี้อัยยการได้ฟ้องโจทก์จำเลยหาว่าขับรถโดนกันโดยประมาทกรณีดังนี้ถือว่าโจทก์จำเลยในคดีแพ่งเปนคู่ความกันมาแล้วในคดีอาญา ศาลย่อมถือข้อเท็จจริงที่ปรากฎ+พิพากษาคดีส่วน+เปนหลักในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีที่จำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนตร์ของโจทก์
ปรากฎว่าก่อนคดีนี้อัยยการได้เปนโจทก์ฟ้องโจทก์จำเลยในคดีนี้หาว่าขับรถจักรยานยนตร์และรถยนตร์โดยประมาทเปนเหตุให้รถโดนกันศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวได้วินิจฉัยว่าจำเลยคดีนี้ขับรถผิดทางจริงแต่หาใช่เปนเหตุให้เกิดชนกันไม่ พิพากษาให้ปรับจำเลยตามพ.ร.บ.จราจร ๔ บาท ส่วนโจทก์ให้ยกฟ้องปล่อยไป คดีถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่าเหตุที่รถชนกันครั้งนี้มิใช่ความประมาทของจำเลยซึ่งตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.๔๖,๔๗ คดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์คดีนี้เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าตามที่ปรากฎในคดีอาญานั้นการที่รถยนตร์ของจำเลยชนรถจักรยานยนตร์ของโจทก์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายตาม ก.ม.ส่วนแพ่งได้ ที่โจทก์เถียงว่าคู่ความในคดีอาญาไม่ใช่คู่ความในคดีแพ่งจะใช้ข้อเท็จจริงมาปรับแก่คดีแพ่งมิได้นั้นเห็นว่าโจทก์จำเลยเปนจำเลยในคดีอาญาทั้งสองคน ย่อมเปนคู่ความตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๑ ข้อ ๑๑ ส่วนคำพิพากษาที่ ๑๔๐๕/๑๔๑๘/๖๒ ที่โจทก์อ้างนั้นได้ตัดสินก่อนประมวลวิธีพิจารณาอาญา นำมาปรับแก่คดีนี้มิได้ศาลอุทธรณ์ตัดสินชอบแล้ว ยืนตาม