คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7341/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สิทธิเก็บกินในที่ดินเฉพาะส่วนย่อมหมายถึงสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินนั้นด้วย
เมื่อสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทสิ้นอายุการเช่าแล้ว โจทก์ผู้ทรงสิทธิเก็บกินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าได้ แม้โจทก์จะมิใช่ผู้ทำสัญญาในฐานะผู้ให้เช่า ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ในฐานะผู้ทรงสิทธิเก็บกินหมดสิทธิจัดการทรัพย์สินหรือถือเอาประโยชน์แห่งทรัพย์สินในที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1417

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาทและส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ในสภาพปกติ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 30,000 บาท และอีกเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวพิพาทและส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์

จำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนด และศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถว และส่งมอบตึกพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายสถาพร ลิมปิสวัสดิ์ และนางสาวสุกาญจนา ลิมปิสวัสดิ์ ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3350 ตามฟ้อง ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2539 เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมได้จดทะเบียนให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิตในที่ดินเฉพาะส่วน ตามสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1ขณะจดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้น มีห้องแถวพิพาทเลขที่ 178/20 และ 178/21ปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2536 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาททั้งสองห้องกับนายสถาพร ลิมปิสวัสดิ์ เจ้าของร่วมมีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไป ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.8 ได้สิ้นอายุการเช่าแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการเดียวว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกแถวพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้นำสืบฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายสถาพร และนางสาวสุกาญจนา ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3350 ตามฟ้อง และเจ้าของร่วมได้จดทะเบียนให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินเฉพาะส่วนตลอดชีวิต ตามสารบัญการจดทะเบียนหลังโฉนดเอกสารหมาย จ.1 ข้อความที่จดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้นย่อมหมายรวมถึงสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บนที่ดินด้วย คือ ห้องแถวพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินที่โจทก์มีสิทธิเก็บกินและการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้นไม่ได้ระบุจำกัดว่า ให้โจทก์มีสิทธิถือเอาประโยชน์แต่เฉพาะในที่ดินโดยแยกออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากตึกแถวพิพาทที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่จำเลยเช่าอยู่นั้นฉะนั้นแม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทในฐานะเป็นผู้ให้เช่าก็ตามก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ในฐานะผู้ทรงสิทธิเก็บกินหมดสิทธิในการจัดการให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาท ซึ่งเป็นการจัดการทรัพย์สินหรือถือเอาประโยชน์แห่งทรัพย์สินในที่ดินนั้นจนตลอดชีวิตของโจทก์ตามที่จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1417 และเมื่อฟังได้ว่าสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 ได้สิ้นอายุการเช่าแล้ว และโจทก์ก็ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไปและมีหนังสือบอกกล่าวให้ออกไป จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share