แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระทำการอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187 ต้องเป็นกรณีที่ศาลได้คำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลอื่นในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวก ขอให้เพิกถอนกลฉ้อฉลและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้โจทก์ โดยเจตนาให้ทรัพย์อันจะถูกยึดหรืออายัดหรือน่าจะถูกยึดหรืออายัดต้องสูญหาย ไร้ประโยชน์ เพื่อมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
โจทก์ฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๗ บัญญัติว่า “ผู้ใดเพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้นเอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัด หรือที่ตนรู้ว่าน่าจะถูกยึดเป็นอายัด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามบทกฎหมายดังกล่าวเห็นว่า การทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัดหรือที่รู้ว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัดนั้น ต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว และผู้นั้นได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพื่อมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล แต่คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีแพ่งนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายกฟ้อง