คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1284/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลย (ลูกหนี้) ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องขอรับชำะหนี้ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย (ลูกหนี้) และได้มอบเงินให้ทนายจำเลยนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ซึ่งเป็นโจทก์รับไป ดังนี้ เป็นการที่จำเลย (ลูกหนี้) ไม่มีสิทธิจะทำได้ เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 23 เมื่อทั้งผู้ร้องขอรับชำระหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ (จำเลย) ผู้ล้มละลาย ทราบอยู่แล้วว่าลูกหนี้ (จำเลย) ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องจะขอรับชำระหนี้ยังรับเงินจากลูกหนี้ (จำเลย) ไว้ เช่นนี้ เป็นการมิชอบด้วยมาตรา 173 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ที่เอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรพัย์มีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวนนั้นคืนจากผู้ร้องขอรับชำะรหนี้ได้ มติที่ประชุมเจ้าหนี้ยืนยันให้เรียกเงินคืน ในกรณีเช่นนี้ แม้จะมีเจ้าหนี้มาประชุมเป็นส่วนน้อย เมื่อได้ความว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งแจ้งความนัดประชุมไปยังเจ้าหนี้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบโดยชอบแล้ว ก็ไม่ทำให้การประชุมและมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ในการนั้นเสียไป ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 157

ย่อยาว

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าจำเลย (ลูกหนี้) ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นเงิน ๒๖,๖๑๕ บาท และเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๑๐ ก่อนจำเลยล้มละลาย จำเลยได้ถูกผู้ร้องฟ้องเป็นคดีอาญาเรื่องใช้เช็คไม่มีเงินต่อศาลอาญา ดำเนินคดีจนถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๑ ผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกัน โดยทนายจำเลยยอมชำระเงินให้ผู้ร้อง ๑๕,๐๐๐ บาทแทนจำเลย ผู้ร้องรับเงินจำนวนนี้ต่อหน้าศาลและถือว่าไม่มีหนี้สินอยู่ต่อกันแล้ว ขอถอนฟ้อง ศาลอาญาอนุญาต ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า จำเลย (ลูกหนี้) มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องคืนเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท ของจำเลย (ลูกหนี้) ซึ่งผู้ร้องรับคืนไปได้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการสอบสวนและเสนอที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาและมีมติให้ยืนยันหนี้ต่อผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีหนังสือยืนยันหนี้มายังผู้ร้อง ผู้ร้องเห็นว่าเงินที่ผู้ร้องรับไปเป็นเงินของทนายจำเลย
มติที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ขอให้ศาลสั่งยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ และจำเลยได้ไปทำความตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องยอมชำระเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท โดยจำเลยได้มอบเงินจำนวนนี้ให้นายเจิม ทนายจำเลยนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๑ อันเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ผู้ร้องต้องคืนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การประชุมเจ้าหนี้เจ้าพนักงานได้ปฏิบัติไปชอบด้วยมาตรา ๑๕๗ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายแล้ว ขอให้ยกคำร้องและมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า เงินที่นำไปวางชำระเป็นเงินของจำเลย (ลูกหนี้) และปรากฏว่าลูกหนี้ได้ชำระเงินให้ผู้ร้องระยะเวลาสามเดือนภายหลังที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ทั้งผู้ร้องก็ทราบว่าจำเลยได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จนถึงกับยื่นคำขอรับชำระหนี้ ถือว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ที่เอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิเรียกเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทคืนได้ ส่วนมติของที่ประชุมเจ้าหนี้นั้น เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งและนัดประชุมให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบโดยชอบแล้ว แม้จะมีเจ้าหนี้มาประชุมเพียง ๒ ราย แล้วมีมติยืนยันให้เรียกเงินคืน ก็เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ยืนตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายเป็นพับ
ผุ้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย (ลูกหนี้) ในข้อหาใช้เช็คไม่มีเงินจำนวน ๒๕,๕๐๐ บาทก่อน ต่อมาวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แล้วต่อมาในวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๑ ผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความในคดีอาญาดังกล่าว โดยทนายจำเลยชำระหนี้ให้ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้นเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท แทนจำเลยแล้วผู้ร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ที่ยืนไว้
ประเด็นข้อแรกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิที่จะเรียกเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท คืนจากผู้ร้องหรือไม่ ที่ผู้ร้องฎีกาว่าเงินที่ผู้ร้องรับไปเป็นเงินของทนายจำเลยนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริง ศาลฎีกาเห็นว่า เงิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินของนายทองย้อยจำเลย ฉะนั้น การที่นายทองย้อยจำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ แล้วต่อมาในวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีอาญา และได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้นายเจิมทนายของจำเลยนำไปวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องไปนั้น จำเลยไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ ประกอบทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ (จำเลย) ผู้ล้มละลายทราบอยู่แล้วว่า ลูกหนี้ (จำเลย) ได้ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องยังไปรับเงินจากลูกหนี้ (จำเลย) ไว้เช่นนี้ จึงมิเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๑๗๒ วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ที่เอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท คืนจากผู้ร้องได้
ในปัญหาข้อกฎหมายที่ผู้ร้องฎีกาโต้เถียงว่าเรื่องนี้มีเจ้าหนี้ ๑๓ คน แต่ในวันประชุมเจ้าหนี้มาประชุมเพียง ๒ ราย มติที่ประชุมของเจ้าหนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๗ บัญญัติว่า เมื่อได้ส่งแจ้งความวัดนัดประชุมหรือแจ้งความใด ๆ ไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายในราชอาณาจักรแล้ว แม้เจ้าหนี้บางรายจะยังไม่ได้รับ ก็ไม่ทำให้การประชุมหรือการนั้นเสียไป” คดีนี้ได้ความว่า การประชุมเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ได้แจ้งและนัดประชุมใหญ่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบโดยชอบแล้ว แม้จะมีเจ้าหนี้มาประชุมเพียง ๒ ราย แล้วมีมติยืนยันให้เรียกเงินคืนจากผู้ร้องก็เป็นการชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายพิเศษ มีกระบวนพิจารณาแตกต่างกับกฎหมายอื่น
พิพากษา ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นพับ

Share