คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนี้จำนองเป็นหนี้บุริมสิทธิ เจ้าหนี้จำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญถ้าจะให้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่เฉพาะเท่าที่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญถ้าจะให้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่เฉพาะเท่าที่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญก็คงหมดโอกาสจะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์ที่นำยึด การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งติดจำนองผู้อื่นอยู่ซึ่งถ้าขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองแล้วจะมีเงินเหลือพอชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ จึงไม่เป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีและเมื่อจำเลยที่ 1 ตกลงยอมรับเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวทั้งหมด

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า จำเลยที่ 1และที่ 3 ตกลงร่วมกันรับผิดชำระหนี้จำนวน 1,473,820.10 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 1,192,801.11บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์หนี้ดังกล่าวจำเลยที่ 2 ตกลงร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน523,013.69 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามตกลงร่วมกันผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์เป็นรายเดือนพร้อมเงินค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากศาลสั่งคืนแก่โจทก์โดยผ่อนชำระเดือนละไม่น้อยกว่า 25,000 บาท เดือนแรกชำระภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2531 เดือนต่อไปทุกวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไปทุกเดือนติดต่อกัน ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 682 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 21640 และ 21641พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินทั้งสามแปลงและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 15,848,500 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยตกลงเรื่องหนี้สินกันได้เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนการยึดทรัพย์และขอถอนการบังคับคดี จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์โดยไม่มีการขายจากยอดเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ดังกล่าวเป็นเงิน 554,697.50 บาท จำเลยที่ 1เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดไว้เป็นเงิน 15,848,500 บาทนั้น เป็นการประเมินโดยเพิ่มราคาจำนองเข้าด้วย ทั้งที่ผู้รับจำนองมิได้เป็นคู่ความหรือยื่นคำขอร้บชำระหนี้จำนองต่อศาลไว้ และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์เกินกว่าหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายเป็นเงิน 554,697.50 บาทจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเพียงในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของหนี้ตามคำพิพากษาหรือตามที่ศาลจะโปรดเห็นสมควร
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมคู่ความ โจทก์แถลงว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างติดจำนองกับบุคคลอื่นจำนวน11 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวน 6 ล้านบาทเศษ หากขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลงได้มากกว่า 17 ล้านบาท โจทก์ก็อาจนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ และหลังจากยึดที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอชำระหนี้โดยขอให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย โจทก์ตกลง จำเลยที่ 1 แถลงว่า ที่ดินทั้งสามแปลงติดจำนองบุคคลอื่นจริง แต่ยอดหนี้ไม่เกิน 10 ล้านบาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายเพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 1,473,820.10 บาท โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญนำยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษามีราคาตามการประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีจำนวน 15,848,500บาท แต่ปรากฏว่าทรัพย์ดังกล่าวติดจำนอง ยอดหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 17 ล้านบาทเศษ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า หนี้จำนองเป็นหนี้บุริมสิทธิเจ้าหนี้จำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ เช่นนี้จะให้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่เฉพาะเท่าที่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์ก็คงหมดโอกาสจะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์ที่นำยึด การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์รายนี้จึงไม่เป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี และเมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียม ในการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายทั้งหมด คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share