คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับขี่ และนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจอดเก็บไว้ ณ สถานที่ซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้หายไปขอให้ใช้ราคารถยนต์ดังกล่าว เป็นการบรรยายฟ้องให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ ใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 หาใช่เป็นการ ฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดไม่
การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ไม่ใช่ค่าเสียหาย แต่เป็นค่าสินไหมทดแทนโจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้ราคารถยนต์เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ที่ไม่ ตกอยู่ในอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยทำหน้าที่พนักงานขับรถยนต์ นำรถยนต์ของโจทก์ไปจอดไว้ ณ สถานที่ซึ่งมิใช่สถานที่เก็บจอด อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์ซึ่งจำเลยทราบแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามระเบียบเกี่ยวกับการเก็บรักษารถยนต์ เป็นเหตุให้รถยนต์หายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคารถยนต์นั้นแก่โจทก์
การฟ้องให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์เนื่องจากจำเลยทำให้ทรัพย์ของโจทก์หายไป ไม่มีกฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ เมื่อวันที่ 17พฤษภาคม 2520 จำเลยนำรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ภ – 6143 ของโจทก์ไปใช้ในกิจธุระส่วนตัวแล้วนำไปจอดเก็บ ณ ที่ซึ่งมิใช่สถานที่เก็บจอดรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวหายไป การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยต้องชดใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 56,736 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 8,510.40 บาท โจทก์ทราบเหตุละเมิดและรู้ตัวผู้น้องชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2521 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,246.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์แต่มิได้ทำงานตำแหน่งพนักงานขับรถ จำเลยไม่ทราบระเบียบปฏิบัติของโจทก์ จำเลยนำรถไปจอดที่อื่นตามคำสั่งของหัวหน้างานของจำเลย สถานที่จำเลยนำรถไปจอดมีรั้วรอบขอบชิด แต่คนร้ายงัดกุญแจประตูรั้วเอารถไปจึงเป็นเหตุสุดวิสัยโจทก์ไม่เคยทวงถาม จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย โจทก์ทราบเรื่องรถหายเมื่อ พ.ศ. 2520 แต่เพิ่งนำคดีมาฟ้องวันที่ 30เมษายน 2522 เกิน 1 ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับแต่วันรู้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิด คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 เพราะโจทก์ทราบถึงตัวผู้กระทำละเมิดและผู้ที่ถึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2521 โจทก์ฟ้องคดีนั้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2522 ยังไม่เกิน 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ตะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่าอายุความที่จะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดนั้นมีกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก.ท.ภ – 6143 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับขี่และนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจอดเก็บไว้ณ สถานที่ซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรถยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้หายไป ขอให้ใช้ราคารถยนต์ดังกล่าว เป็นการบรรยายฟ้องให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 หาใช่เป็นการฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดไม่ ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติว่า “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้นได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้ต้องเสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างไรอันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย” จากบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ จึงเห็นได้ว่าการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายแต่เป็นค่าสินไหมทดแทนดังนั้นที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคารถยนต์จึงเป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ปัญหาข้อนี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขึ้นมาโดยตรง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยทำหน้าที่พนักงานขับรถยนต์ นำรถยนต์ของโจทก์ไปจอดไว้ ณ สถานที่ซึ่งมิใช่สถานที่เก็บจอดรถยนต์ของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่มีระเบียบข้อบังคับห้ามมิให้นำรถยนต์ไปจอดเก็บไว้ที่บ้านหรือเก็บรักษาไว้เองตามคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 451/2517 ตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งจำเลยทราบแล้วเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามคำสั่งเกี่ยวกับการเก็บรักษารถยนต์เป็นเหตุให้รถยนต์หายไป จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่โจทก์ทั้งกรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติบังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ก่อน

ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดราคารถยนต์ที่หายเท่ากับรถยนต์ขณะที่โจทก์ซื้อมาคือ 71,500 บาท โจทก์ใช้มาแล้ว 3 ปี หักค่าเสื่อมราคาร้อยละ 20 เป็นเวลา3 ปี เป็นเงิน 34,892 บาท คงเหลือเงินสุทธิที่จำเลยต้องใช้แก่โจทก์ 36,608 บาท

พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ 36,608 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันที่ 18 พฤษภาคม 2520 ไปจนกว่าจะชำระเงินให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น

Share