แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลย โดยนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 2 ธันวาคม 2531 แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งก่อนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม มาตรา 24 และมาตรา 227 เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 913,218.75 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ลายมือชื่อตามเช็คไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ 1 ตุลาคม 2530โจทก์ขอเลื่อนคดี และต่อมาได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุต่าง ๆอีกหลายนัด ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเรื่อยมา จนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 10 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่า ตัวโจทก์เดินทางไปกรุงเทพมหานครเพื่อติดตามเอกสารที่จะใช้ประกอบการเบิกความซึ่งติดกระเป๋าภรรยาไปยังไม่กลับ ทนายจำเลยแถลงว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาเป็นเวลาปีครึ่งแล้วยังไม่ได้สืบพยานเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีมาปีเศษแล้วโดยไม่ได้สืบพยานเลย นัดที่แล้วศาลก็ได้กำชับว่าจะไม่ให้เลื่อนคดีอีก แต่โจทก์ก็เดินทางไปกรุงเทพมหานคร แล้วไม่มาตามนัด ไม่มีเหตุสมควรให้เลื่อนคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี วันนี้โจทก์ไม่มีพยานมาศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 ธันวาคม 2531 เวลา 8.30 นาฬิกา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วนัดฟังคำพิพากษาไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่เป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามมาตรา 24 และมาตรา 227โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อนพิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226บัญญัติเป็นใจความว่า ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีถ้าศาลได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใดไว้ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลย และอยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษานั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา 226 และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 และ มาตรา 227 เพราะที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีนั้น เป็นการวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามฟ้องมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดีแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องในวันที่ 29 พฤศจิกายน2531 เวลา 9.45 นาฬิกา ซึ่งทนายโจทก์ก็มาศาลในวันดังกล่าวและศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในวันที่ 2 ธันวาคม 2531 เวลา 10นาฬิกา โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว…”
พิพากษายืน.