คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12802/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 คำร้องดังกล่าวย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 253 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์ยังคงอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งซึ่งศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 46 จึงต้องรอฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาให้เป็นที่ยุติเสียก่อน แม้ผู้ร้องทั้งสองจะมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัย เพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัย และกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายคดีนี้จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 295, 297, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และบวกโทษจำคุกจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2870/2557 ของศาลแขวงชลบุรีเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวีรพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายสุวินัย ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 1 และ 50,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 12 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 120,000 บาท และผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 1,500 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่า ขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์รอนางสาวเฟิร์น โดยผู้เสียหายทั้งสองนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นมาจากทางด้านหลังและจอดรถขนานกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสอง ระยะห่างประมาณ 1 เมตร ชายคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งพยานเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นจำเลย เนื่องจากมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าและจำเลยไม่มีสิ่งปกปิดใบหน้าจำเลยถามขึ้นว่า “ใช่เฮียอ้ำมั้ย” พยานยังไม่ทันได้ตอบจำเลยก็ชักอาวุธปืนออกมาจากเอวแล้วเล็งยิงมาที่ศีรษะของพยาน พยานยกแขนขึ้นบังไว้เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกที่แขนขวา เมื่อพยานล้มลง จำเลยยังเล็งอาวุธปืนมาที่พยานอีก พยานและผู้เสียหายที่ 2 ต่างวิ่งหลบหนี แต่พยานถูกยิงที่บริเวณบั้นท้ายอีก 1 นัด จนล้มลง นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทนันทพนธ์ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานสอบปากคำผู้เสียหายทั้งสองไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้เสียหายทั้งสอง ได้ตรวจดูแล้ว ผู้เสียหายที่ 1 ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2556 เป็นเวลาหลังเกิดเหตุไม่นาน ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่า คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงตนคือจำเลย ซึ่งเคยมีสาเหตุทะเลาะวิวาทกันที่ร้านคาราโอเกะ ก่อนเกิดเหตุ 4 ถึง 5 วัน ทั้งนางสาวนิภาภรณ์หรือเฟิร์น พยานโจทก์ ซึ่งเป็นพนักงานร้านกวางคาราโอเกะก็เบิกความยืนยันว่ากลุ่มของผู้เสียหายและกลุ่มของจำเลยมีสาเหตุไม่พอใจและด่ากันที่ร้านคาราโอเกะที่พยานทำงานอยู่ แต่เจ้าของร้านขอร้องไว้ไม่ให้มีเรื่องกัน ประกอบกับเมื่อตรวจดูภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุแล้ว เห็นได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากเสาไฟฟ้า ซึ่งติดตั้งหลอดไฟนีออนอยู่สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่าขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าดังกล่าว สามารถเห็นใบหน้าคนร้ายชัดเจนในระยะ 2 ถึง 3 เมตร เมื่อคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มาจอดขนานกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสองในระยะห่างเพียงประมาณ 1 เมตร ผู้เสียหายที่ 1 ย่อมมีโอกาสเห็นคนร้ายได้ โดยเฉพาะจำเลยเคยมีสาเหตุไม่พอใจถึงขั้นด่าและท้าทายกันกับกลุ่มของผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนไม่นาน เชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 เห็นใบหน้าและจดจำจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า ที่บริเวณขาของจำเลยมีรอยสักเห็นได้ชัดเจนแต่ผู้เสียหายที่ 1 มิได้แจ้งเรื่องรอยสักของคนร้ายแก่เจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 จะเห็นและจดจำคนร้ายได้นั้น เห็นว่า รอยสักแม้จะเป็นจุดเด่นให้เป็นที่สังเกต แต่เมื่อขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เห็นใบหน้าคนร้ายและจดจำได้ว่าเป็นจำเลยแล้ว ข้อสังเกตอื่นย่อมเป็นเรื่องรายละเอียดและผู้เสียหายที่ 1 อาจไม่ทันได้สังเกตเห็นก็เป็นได้ การที่ผู้เสียหายที่ 1 มิได้แจ้งเรื่องรอยสักของคนร้ายแก่เจ้าพนักงานตำรวจจึงหาได้เป็นข้อพิรุธดังที่จำเลยอ้างไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเป็นการไม่ชอบ เพราะผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นผู้ร้องมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ และยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองนั้น เห็นว่า เมื่อผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 คำร้องดังกล่าวย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุด เพราะโจทก์ยังคงอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งซึ่งศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงต้องรอฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาให้เป็นที่ยุติเสียก่อน แม้ผู้ร้องทั้งสองจะมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัย เพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยและกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดี จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share