คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลจำต้องพิเคราะห์คำพยานประกอบกันทั้งหมด แล้ววินิจฉัยตามเหตุผลที่ควรจะเป็นจริง จะถือเอาคำพยานของโจทก์เพียงบางปากที่เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อคำฟ้องของโจทก์ขึ้นชี้ขาดนั้นหาควรไม่
เจ้าทรัพย์และบุตรเบิกความในชั้นศาลว่า เกิดเหตุวันแรม 2 ค่ำ แต่คำพยานปากอื่น ๆ ของโจทก์ตลอดจนพนักงานสอบสวน ผู้สอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ก็ว่าประจักษ์พยานของโจทก์ทุกปาก ยืนยันในชั้นสอบสวนว่า เหตุเกิดวันแรม 1 ค่ำ ตรงกับฟ้องทั้งนั้น ดังนี้ ย่อมฟังได้ว่า เกิดเหตุวันแรม 1 ค่ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน (ตรงกับแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐) พ.ศ. ๒๔๘๙ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจชิงทรัพย์ของนางแช่ม รักเอี่ยมไป รวมราคา ๑๖๒ บาท ขอให้ลงโทษ
จำเลยปฎิเสธต่อสู้อ้างฐานที่อยู่
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วสั่งงดไม่สืบพยานจำเลย โดยวินิจฉัยว่า ประจักษ์พยานโจทก์ ๓ ปาก เบิกความว่า เกิดเหตุวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ผิดจากวันในฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปให้สิ้นกระแสร์ความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือเอาคำพะยานโจทก์เพียงบางปากที่เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อคำฟ้องของโจทก์ขึ้นชี้ขาดนั้นหาควรไม่ แม้เจ้าทรัพย์และบุตรมาเบิกความว่าเหตุเกิดวันแรม ๒ ค่ำ แต่ตามคำพยานปากอื่น ๆ ของโจทก์ ตลอดจนพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง ๒ วันก็ว่าประจักษ์พยานโจทก์ทุกปาก ยืนยันในชั้นสอบสวนว่า เหตุเกิดวันแรม ๑ ค่ำทั้งสิ้น เมื่อพิเคราะห์ประกอบทั้งหมดแล้ว จะเห็นได้ว่า เหตุเกิดวันแรม ๑ ค่ำ คำของเจ้าทรัพย์ และ บุตรในชั้นศาลคงคลาดเคลื่อนโดยผิดหลง จึงพิพากษายืน

Share