แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานแต่พยานพฤติเหตุแวดล้อมของโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่ารู้จักจำเลยและยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจเชื่อว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง จำเลยเคยกล่าวอาฆาตว่าจะยิงผู้ตายด้วยเหตุโกรธที่ผู้ตายไปลวนลามภริยาจำเลย แม้ผู้ตายจะออกไปจากหมู่บ้านบวชเป็นพระภิกษุแล้วลาสิกขาบทกลับมาจำเลยยังพูดว่าจะต้องยิงผู้ตาย การที่จำเลยใช้ผู้อื่นไปยืมอาวุธปืนและก่อนเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทะเลาะกับผู้ตายแสดงว่าจำเลยได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ล่วงหน้าแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 33และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้จำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน ส่วนหัวกระสุนปืนของกลางไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่ริบ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต จำเลยรู้สึกความผิดเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบกับมาตรา 52(1) ให้หนึ่งในสามแล้ว ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตริบหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสมนึกและนายหมัดถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองยิงถึงแก่ความตาย ปัญหาว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสมบูรณ์เกลี้ยงกลม เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน ผู้ตายซึ่งเป็นคนเจ้าชู้ได้ไปลวนลามภริยาจำเลย จำเลยพูดกับพยานว่าจะยิงผู้ตาย พยานขอร้องไว้โดยขอให้ผู้ตายออกจากหมู่บ้าน ผู้ตายไปบวชเป็นพระภิกษุที่จังหวัดพัทลุงประมาณ 1 เดือน ลาสิกขาแล้วก็กลับมาพักอยู่กับพยานอีก พยานจึงนัดให้จำเลยมาเจรจากับผู้ตายในวันที่ 11กรกฎาคม 2533 แต่จำเลยไม่มา ในวันที่พยานไปพบจำเลยเพื่อนัดให้มาเจรจากับผู้ตาย จำเลยยังพูดกับพยานว่าต้องยิงผู้ตาย หลังเกิดเหตุประมาณ 5 วัน จำเลยมาติดต่อขอมอบตัวพยานจึงไปรับตัวจำเลยมามอบให้แก่พนักงานสอบสวน และได้ความจากนายอนันต์ ชุมทอง น้องชายจำเลยว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยใช้นายอนันต์ให้ไปขอยืมอาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยวจากนางจิต แก่นสังข์ พี่สาวผู้ตาย ต่อมาเวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยก็นำอาวุธปืนดังกล่าวมามอบให้นายอนันต์นำไปคืนเจ้าของ และนายบุญเหลือ แกล้วทนงเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ขณะอยู่ในกระท่อมเฝ้าสวนยาง จำเลยเดินผ่านมา พยานเรียกเข้าไปคุย จำเลยบอกว่าได้ยิงนายทอกหรือนายสมนึกผู้ตายที่ปาล์ม 5 เมื่อสักครู่นี้ จำเลยจุดบุหรี่สูบแล้วก็เดินจากไป ร้อยตำรวจตรีณัฐวัฒน์ ยกย่องกุลนายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรอำเภอควนกาหลงเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ได้รับแจ้งเหตุจากตำรวจสายตรวจจึงออกไปทำการสอบสวนได้ความว่าจำเลยมีสาเหตุกับภริยาผู้ตายมาก่อน และจำเลยใช้ให้นายอนันต์ไปขอยืมอาวุธปืนจากนางจิตมายิงผู้ตายพยานจึงสั่งให้นางจิตนำอาวุธปืนดังกล่าวมามอบให้แก่พยานรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 พันตำรวจโทประพันธ์ศรีไตรรัตน์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ได้สอบปากคำนายสมบูรณ์และนายอนันต์ได้ความว่า จำเลยใช้นายอนันต์ไปขอยืมอาวุธปืนดังกล่าวแล้วนำไปคืน วันที่ 17 กรกฎาคม 2533 นายสมบูรณ์พาจำเลยมามอบตัว จำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจว่าได้กระทำความผิดดังฟ้อง เนื่องจากผู้ตายได้ข่มขืนภริยาจำเลย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 จึงได้ให้จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และได้ถ่ายภาพประกอบไว้ ตามเอกสารและภาพถ่ายหมาย ป.จ.4 และ ป.จ.5 ตามลำดับ ทั้งได้ความตามสำนวนจากนายอนันต์และนางจิตสมพ้องกับข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยนำสืบโต้แย้งว่าเป็นญาติกับนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่เคยมีสาเหตุกันเรื่องที่ดิน จำเลยเคยมีสาเหตุกับนายบุญเหลือ เรื่องที่ดินและนางจิตก็เป็นญาติกับจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกัน รู้จักกับจำเลยมาก่อนและยืนยันว่าต่างไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลย ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีก็ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจในชั้นต้นแห่งการพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพ พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้มั่นคง เชื่อได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงฆ่าผู้ตายจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น เห็นว่า จำเลยโกรธผู้ตายที่ไปลวนลามภริยาจำเลย เคยกล่าวอาฆาตว่าจะยิงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายต้องออกจากหมู่บ้านไปบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อผู้ตายลาสิกขาแล้วกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านอีก จำเลยก็แสดงความไม่พอใจแม้กระทั่งนายสมบูรณ์ผู้ใหญ่บ้านจะนัดหมายให้มาเจรจากัน จำเลยยังพูดว่าจะต้องยิงผู้ตายและไม่ยอมไปเจรจากันตามนัด อีกทั้งวันเกิดเหตุ จำเลยก็ใช้ให้นายอนันต์ไปยืมอาวุธปืนจากนางจิตมาใช้ยิงผู้ตาย และก่อนเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทะเลาะกับผู้ตายแสดงว่าจำเลยได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ล่วงหน้าจึงฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องโจทก์…”
พิพากษายืน