คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1273/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จะเป็นป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ต้องมีองค์ประกอบสุดท้ายว่า ได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยฟังว่าจำเลยกระทำเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 จำเลยฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เช่นนี้ เป็นฎีกาเถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2510 เวลากลางวัน จำเลยใช้อาวุธปืนสั้น ชนิดลูกโม่ ยิงโจทก์ด้วยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนถูกโจทก์ที่อวัยวะที่ไม่สำคัญโจทก์จึงไม่ตาย เหตุเกิดที่ตำบลดงเดือย อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การต่อสู้ว่ายิงโจทก์เพื่อป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า การกระทำของจำเลยแม้จะเป็นการป้องกันก็เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 69 ให้จำคุก 5 ปี

จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุพิพากษายืน

จำเลยฎีกา ครั้งแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ จำเลยยื่นฎีกาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งรับว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยมีว่าที่จำเลยกระทำไปเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากโจทก์ยิงประทุษร้ายจำเลยก่อน โดยขณะนั้นโจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานต้องการจะระงับเหตุที่โจทก์ก่อขึ้น และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เพราะตรงที่จำเลยยืนยิงโจทก์อยู่ห่างกัน 7 วา โจทก์มีอาวุธปืนอยู่ในมือพร้อมจะยิงจำเลยได้ทันที เห็นได้ว่าที่จำเลยกระทำไปนั้นเป็นการพอสมควรแก่เหตุแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่า ได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย แต่คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 5 ปี จำเลยจะฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นมิได้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นภยันตรายที่โจทก์ยิงจำเลยก่อนนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามหลักฐานของจำเลยเองว่า โจทก์เมาสุรามากนั่งยอง ๆ โงนเงนอยู่และยิงปืนข้ามศรีษะจำเลยไปถูกหลังคาบ้านนายเผย กับไม้พึงหลังบ้านนางเกิน จำเลยกลับถือปืนจ้องเข้าไปเรื่อย ๆ และเล็งยิงหน้าอกโจทก์ล้มลง ในระยะใกล้เพียง 5 ศอกหรือ 1 วา 1 ศอกเท่านั้น โดยจำเลยรับว่าตั้งแต่จำเลยไปถึงที่เกิดเหตุจนยิงโจทก์ล้มลงไป โจทก์คงนั่งโงนเงนอยู่ แสดงอาการเมาสุราโดยมิได้ลุกขึ้นขยับไปไหนเลย และนายเวชพยานจำเลยยังว่า เมื่อจำเลยกับนายเวชไปห่างโจทก์ 4 วา โจทก์ถือปืนนั่งคุยกับนางทิมอยู่ขณะนั้นโจทก์ไม่ได้แสดงอาการจะยิงหรือต่อสู้ ถ้าจำเลยจะเข้าไปจับโดยไม่ต้องยิงปืนขู่โจทก์ก็ทำได้ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่าการกระทำเช่นนี้ของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นข้อเท็จจริง จำเลยจะฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานก็ดี เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเพราะจำเลยยิงโจทก์ในระยะห่าง 7 วา โดยโจทก์พร้อมจะยิงจำเลยอีกก็ดีเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมาทั้งสิ้น จะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share