แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่า จำเลยเป็นพลตำรวจ ผู้ตายเป็นผู้บังคับกองเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย ผู้ตายได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ราชการตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติกลับประพฤติผิดวินัย เมาสุราอาละวาดพกอาวุธปืนเถื่อนและขัดขืนคำสั่ง พูดจาท้าทายจะยิงกับผู้ตายต่อหน้าประชาชน ผู้ตายจึงตบหน้าจำเลยไป 1 ที แล้วนำตัวไปสถานีตำรวจระหว่างทางจำเลยยังทำร้ายและพูดจาก้าวร้าวท้าทายผู้ตายอีก เมื่อถึงสถานีตำรวจ ผู้ตายจึงชกและเตะจำเลยไปอย่างละที แล้วสั่งให้ขังจำเลยเป็นการลงทัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ที่ผู้ตายในฐานะผู้บังคับบัญชากระทำได้ตามพระราชบัญญัติวินัยตำรวจ จำเลยกลับหนีไปบ้านพักเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นการฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่ได้กระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) แม้ผู้ตายจะกระทำแก่จำเลยเกินเลยไปบ้าง การกระทำของผู้ตายก็ไม่ทำให้กลายเป็นไม่ใช่เจ้าพนักงานไปได้
การที่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้า ชกและเตะแล้วจำเลยหลบหนีไปห้องพักของจำเลยเอาปืนมายิงผู้ตาย การกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว จำเลยมิได้กระทำในขณะจำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายในตอนหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอพะเยาพันตำรวจศรีบุญเรือง ทิพย์เนตร เป็นผู้บังคับกองสถานีตำรวจดังกล่าวเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2510 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมีหน้าที่รักษาความสงบในงานประเพณีลอยกระทงตามคำสั่งของพันตำรวจตรีบุญเรือง จำเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว กลับเสพสุราเมาอาละวาด พันตำรวจตรีบุญเรืองจึงเข้าระงับเหตุ ว่ากล่าวตักเตือนและสั่งขังจำเลยตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยได้หลบหนีไป และวันเวลาเดียวกัน จำเลยบังอาจใช้ปืนคาร์บิน ของทางราชการตำรวจยิงทำร้ายพันตำรวจตรีบุญเรืองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พันตำรวจตรีบุญเรืองถึงแก่ความตายด้วยพิษบาดแผลที่ถูกจำเลยยิงในเวลาใกล้เคียงกันนั้น เหตุเกิดที่บริเวณสถานีตำรวจภูธรอำเภอพะเยา ตำบลเวียง อำเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยไม่ผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่หรือโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ผิดฐานฆ่าคนตายด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 72 จำคุก 16 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) และ (4) และไม่เข้าลักษณะบันดาลโทสะ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (2) ให้ประหารชีวิตจำเลย ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (2) จำคุก 20 ปี
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2)และจำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ ควรลดโทษให้จำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาการกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่หรือเพราะเหตุที่จะกระทำหรือได้กระทำตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย ได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ราชการตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติและประพฤติผิดวินัยไปเมาสุราอาละวาดในบาร์ พกอาวุธปืนเถื่อนและขัดขืนคำสั่งไม่ยอมออกจากบาร์ เมื่อถูกนำตัวมาพบผู้ตาย จำเลยกลับพูดจาท้าทายจะยิงกับผู้ตายต่อหน้าประชาชนโดยที่ผู้ตายยังมิได้ทำอะไรจำเลย ผู้ตายจึงตบหน้าจำเลยไป 1 ที แล้วให้นำตัวไปสถานีตำรวจระหว่างนั่งมาในรถไปสถานีตำรวจ จำเลยยังบังอาจทำร้ายผู้ตายและพูดจาท้ายิงกับผู้ตายอีก โดยที่ผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุอะไรกับจำเลยมาก่อน เมื่อไปสถานีตำรวจผู้ตายได้เตะและชกจำเลยไปอย่างละ 1 ที แล้วสั่งให้เอาตัวไปขังเพราะจำเลยกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งผู้ตายมีอำนาจสั่งลงโทษจำเลยได้ จำเลยกลับหลบหนีไปบ้านพักเอาอาวุธปืนคาร์บิน ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมายิงผู้ตายเป็นการฆ่าผู้ตายเพราะเหตุที่ผู้ตายสั่งลงโทษจำเลยตามอำนาจหน้าที่หรือเพราะเหตุที่ได้กระทำการตามหน้าที่นั่นเอง แม้ผู้ตายจะทำแก่จำเลยเกินเลยไปบ้างก็เพราะจำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง กลับประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงขนาดพูดจาท้าทายอย่างโอหังบังอาจแก่ผู้ตายซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต่อหน้าประชาชนและตำรวจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ตายด้วย การกระทำของผู้ตายจึงไม่ทำให้ผู้ตายกลายเป็นไม่ใช่เจ้าพนักงาน จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2)
ส่วนปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 หรือไม่เห็นว่าการกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว และผู้ตายได้สั่งให้นายสิบเวรเอาตัวจำเลยไปขัง จำเลยได้หลบหนีไปห้องพักเอาปืนออกมาใช้ยิงผู้ตายที่หน้าสถานีตำรวจขณะผู้ตายไม่รู้ตัว จำเลยมิได้กระทำในขณะที่จำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยไม่เข้าลักษณะเป็นบันดาลโทสะ
พิพากษายืน