แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จตามจำนวนที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางไว้ต่อศาล แล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ใช่กรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลตามที่โจทก์เรียกร้องโดยยอมรับผิดอันจะเป็นเหตุให้ระงับการเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 กรณีมีผลเพียงตามมาตรา 231 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาเท่านั้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินและดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบังคับให้จำเลยปฏิบัติการชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วางศาลจากวันที่จำเลยได้วางไว้แล้วต่อไปในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาให้โจทก์ได้
ย่อยาว
กรณีเรื่องนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 25,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ตามที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาล แล้วอุทธรณ์และฎีกาต่อมาโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินตามที่โจทก์ฟ้องเรียกร้อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกคำสั่งบังคับให้จำเลยนำเงินดอกเบี้ยในเงินต้นนับแต่วันที่จำเลยวางไว้แล้วต่อไป ในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่จำเลยยังหาได้นำมาชำระให้โจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หลังจากจำเลยฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำเลยได้นำเงินอันพึงต้องชดใช้ให้โจทก์มาวางศาลตามคำพิพากษาทุกระดับครบถ้วนเสมอ แสดงว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยครบถ้วนแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินใด ๆ จากจำเลยอีก ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อจำเลยวางเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแล้วอุทธรณ์ฎีกาต่อมาขอให้ศาลยกฟ้องว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้เงินจำนวนนี้ จึงหามีผลเป็นการปลดเปลื้องหนี้ด้วยการชำระหนี้ไม่ ทำให้เกิดผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 ที่ศาลต้องงดการบังคับคดีไว้ก่อน ทั้งไม่ใช่กรณีการวางเงินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 135 อันจะเป็นผลให้ไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ย พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีตามคำร้องขอบังคับคดีของโจทก์ต่อไป
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกรณีที่จำเลยนำเงินมาวางศาลแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 135 บัญญัติว่า จำเลยจะต้องนำเงินมาวางศาลก่อนศาลมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์พอใจยอมรับเงินที่จำเลยวางไว้ต่อศาลโดยไม่ติดใจเรียกร้องมากกว่านั้นศาลก็จะได้พิพากษาคดีนั้นให้เป็นที่สุด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 136 แต่เรื่องนี้ จำเลยนำเงินมาวางศาลเมื่อ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาล การที่จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาวางศาลแล้วจำเลยได้อุทธรณ์เป็นผลให้โจทก์จะขอบังคับคดีในระหว่างนั้นไม่ได้เท่านั้นส่วนความรับผิดของจำเลยจะมีต่อโจทก์เพียงไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะวินิจฉัยต่อไป
จำเลยไม่ได้แถลงให้เป็นหลักฐานว่า จำเลยยอมให้โจทก์รับเงินที่จำเลยวางไว้ต่อศาลนั้นไปได้ แต่จำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโดยอ้างว่าจำเลยควรชนะคดีโจทก์ ซึ่งเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงย่อมจะรับเงินที่จำเลยวางไว้นั้นไปจากศาลยังไม่ได้ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด
เมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ 25,000 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเงินเสร็จให้โจทก์ เช่นนี้ จะถือว่าจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับดอกเบี้ยจนถึงวันที่โจทก์ได้รับชำระหนี้โดยแท้จริง เมื่อโจทก์ได้รับดอกเบี้ยไม่ครบตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์