แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดก การฟ้องคดีจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวจะมอบให้บุคคลอื่นทำการแทนไม่ได้ปรากฏว่าความข้อนี้จำเลยทั้งเจ็ดมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นในปัญหาดังกล่าวและเป็นข้อที่มิได้ ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับ อำนาจฟ้องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกา ไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(5) ประกอบ มาตรา 246และ 247.
ย่อยาว
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ แจ้งอักษร ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งเจ็ดออกไป และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเดิม
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ให้การว่า จำเลยทั้งหกครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยนายสุวรรณไม่เคยโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลาเกิน 1 ปี แล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยที่ 7 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 7 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี แล้วตั้งแต่นายสุวรรณยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง เดิมบิดาจำเลยที่ 7 เคยแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนและยกให้จำเลยที่ 7 จำเลยที่ 7 ครอบครองสืบต่อมา 30 ปีแล้วขอให้ห้ามโจทก์และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 7 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 1 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 7
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 7 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งเจ็ดและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งเจ็ดออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์ในสภาพเดิม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 7
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก การฟ้องคดีจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ผู้จัดการมรดกต้องทำการด้วยตนเองจะมอบให้บุคคลอื่นทำการแทนไม่ได้อีกทั้งโจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก การมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นไปในฐานะส่วนตัวนั้นเห็นว่า ความข้อนี้จำเลยทั้งเจ็ดมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่มีประเด็นในปัญหาดังกล่าวและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดเพียงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่เท่านั้น
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
ปัญหาว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ นางสาวสุจิตราและนายวิโรจน์ผู้ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ดูแลที่ดินพิพาทว่า จำเลยเข้าแผ้วถางตัดฟันต้นไม้ในที่ดินพิพาทในเดือนพฤศจิกายน 2530โจทก์ฟ้องคดีในเดือนกุมภาพันธ์ 2531 ยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่ดินพิพาทภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้บัญญัติไว้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ชอบแล้ว
พิพากษายืน.