คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนองน้ำสาธารณะซึ่งราษฎรมีสิทธิใช้ร่วมกันนั้น แม้ผู้ใดจะยึดถือมานานเพียงใดก็หาได้สิทธิครอบครองไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าทำให้ลำคลองพะมอญ (หรือพระมอญ)และหนองจอกหรือหนองจอกใหญ่ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน ตื้นเขินขึ้น ทั้งนี้เพื่อเจตนายึดถือเอาเป็นประโยชน์ตนและต่อมา พ.ศ. 2492 จำเลยได้กีดกันถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวและห้ามมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้ประโยชน์ในลำคลองและหนองนั้น เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2492 นายขาวจำเลยได้ทำนิติกรรมโอนที่พิพาทนี้ให้แก่นายแมนจำเลยซึ่งเป็นบุตรเขย จึงขอให้แสดงว่าที่พิพาทนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทและให้ทำลายนิติกรรมโอนที่พิพาทเสีย

จำเลยต่อสู้ว่า เดิมลำคลองพะมอญและหนองจอกใหญ่เป็นทางน้ำธรรมชาติจริง แต่ได้ตื้นเขินกลายสภาพเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าได้ประมาณ 50 ปีแล้ว ไม่มีทางน้ำหรือมีน้ำขัง ประชาชนได้เข้าครอบครองกลายเป็นที่นาไปหมด เฉพาะที่พิพาทนี้นายขาวได้เข้าก่นสร้างครอบครองมา 37 ปีแล้ว เมื่อเข้าครอบครองแล้วได้ขุดสระขึ้น 3 สระเพื่อเลี้ยงปลา ที่พิพาทหาใช่เป็นลำคลองหรือหนองสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันไม่ นิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ทำยกที่รายนี้ให้จำเลยที่ 2 นั้นสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิจะเพิกถอน

ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นหนองสาธารณะจริงแต่ได้กลายสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จำเลยครอบครองมา 30 ปีเศษ เมื่อจำเลยจะโอนได้มีการคัดค้านแต่ทางอำเภอและจังหวัดได้สอบสวนแล้วสั่งให้โอนกันได้ ที่พิพาทจึงเป็นที่เอกชนไปแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่พิพาทยังคงเป็นหนองสาธารณะ พิพากษากลับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะ ซึ่งราษฎรมีสิทธิใช้ร่วมกัน แม้จำเลยจะยึดถือมาช้านานเท่าไรก็ไม่ได้สิทธิครอบครองจึงพิพากษายืน

Share