คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าคดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยมาให้การ และให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกหมายเรียกจำเลยมานั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยก็เป็นการสั่งให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้าย โจทก์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินคดีต่อไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้นั้น
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คเงินสดเพื่อชำระหนี้ในธุรกิจการค้าให้แก่โจทก์ โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าคดีของโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยมาให้การวันเดียวกับวันนัดสืบพยานโจทก์ ให้โจทก์นำส่งหมายภายใน ๗ วัน การส่งหมายหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย นัดสืบพยานโจทก์วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา โจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลดังกล่าวนี้แล้วปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๕
ต่อมาวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๒ รองจ่าศาลรายงานว่า ตามที่ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกแก่จำเลยภายใน ๗ วัน นั้น บัดนี้ล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์มิได้นำส่งหมายแต่ประการใด ขอให้ศาลมีคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง จำหน่ายคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีของโจทก์นั้นชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๕ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยมาให้การและให้โจทก์นำส่งหมายภายใน ๗ วันนั้น โจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวตามที่โจทก์ได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณานั้นแล้ว เห็นว่าการที่ศาลสั่งให้ออกหมายเรียกจำเลยมานั้นนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๙ แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยก็เป็นการสั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความปฏิบัติหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๐ วรรคท้ายบัญญัติไว้ โจทก์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวที่จะต้องดำเนินคดีต่อไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีก็ต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔(๒) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒(๑) แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมิได้มีบทบัญญัติเรื่องการนำหมาย การทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีไว้โดยเฉพาะศาลก็มีอำนาจนำบทบัญญัติเรื่องดังกล่าวแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับในคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕
พิพากษายืน

Share