แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อัยการจังหวัดสกลนครโจทก์ ยื่นฟ้องอุทธรณ์แล้วขอให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่จังหวัดทหารบกอุดรธานี โดยแถลงว่าจำเลยเข้ารับราชการทหารเป็นทหารประจำการอยู่ที่นั่น ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดรจนล่วงเลยเวลามานานแล้วไม่ได้รับตอบ ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ๆ ว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยอยู่ในอำนาจของทหาร เช่นนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้รับตอบจากจังหวัดทหารบก จะถือว่าเป็นกรณีหาตัวจำเลยไม่พบหรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับอุทธรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ยังไม่ถนัดเพราะเรื่องเช่นนี้โจทก์ควรจะได้พยายามติดต่อกับทางทหารให้ได้ความชัดเจนว่า ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยได้หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นทางราชการด้วยกัน
ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี เพราะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้ เมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะต้องไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป ไม่ใช่ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันฆ่ากระบือ 1 ตัวไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ พ.ศ. 2488 มาตรา 5-11(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2496 มาตรา 4-5 และให้จ่ายสินบนแก่ผู้แจ้งความนำจับด้วย
จำเลยทุกคนรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งแล้วคงปรับจำเลยคนละ 16 บาท บังคับค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 กับจ่ายค่าสินบนนำจับกึ่งหนึ่งโดยหักจากค่าปรับ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษต่ำเกินไปและศาลปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่าเท่านั้น ไม่ได้ปรับเรียงตัวผู้ทำผิดเป็นการปรับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ปรากฏว่าส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 4 ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์จึงพิจารณาเฉพาะจำเลยอื่นแล้วพิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยทุกคนนอกจากจำเลยที่ 4 คนละ 100 บาทลดรับกึ่งคงปรับคนละ 50 บาทไม่ใช้ค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จ่าย สินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับที่ศาลได้รับชำระ และให้จำหน่ายคดีเกี่ยวแก่จำเลยที่ 4
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201
ศาลฎีกาพิจารณาได้ความว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องอุทธรณ์ โจทก์ขอให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 4 ที่จังหวัดทหารบกอุดรธานี โดยแถลงว่า จำเลยที่ 4 เข้ารับราชการเป็นทหารประจำการอยู่ ณ ที่นั้นศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดรจนล่วงเลยเวลามานานแล้ว ไม่ได้รับตอบ ศาลสอบถามโจทก์ ๆ ว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยอยู่ในอำนาจของทหารศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ๆ สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้โจทก์ควรจะได้พยายามติดต่อกับทางทหารให้ได้ความชัดเจนว่า ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 4 ได้หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นทางราชการด้วยกัน เพียงแต่ยังไม่ทันได้รับตอบจากจังหวัดทหารบก จะว่า หาตัวจำเลยไม่พบหรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับอุทธรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ไม่ถนัด อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้ไปขอรับสำเนาอุทธรณ์จากศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2502 แล้ว จึงชอบที่โจทก์จะร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป
ศาลฎีกาพิพากษายืน