แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายข้อ 8 มีความว่า ในกรณีที่ผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อตามกำหนด ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนแล้วแต่จะเห็นสมควร ส่วนสัญญาข้อ 9 มีความว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์ตามกำหนดและโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับริบเงินประกันของจำเลยจากธนาคารตามสัญญาข้อ 8 แล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันตามสัญญาข้อ 9 อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2527 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายคุรุภัณฑ์จำนวน 3 รายการรวมราคา 166,440 บาทแก่โจทก์และตกลงจะส่งมอบคุรุภัณฑ์ภายในวันที่ 21 มกราคม 2528 แต่จำเลยที่ 1ไม่ส่งมอบภายในเวลาที่กำหนด โจทก์มีหนังสือเตือนแล้ว จำเลยที่ 1เพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้ธนาคารทหารไทย จำกัดผู้ค้ำประกันนำเงินจำนวน 8,322 บาท มาชำระแก่โจทก์ จำเลยที่ 1จะต้องชำระค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่โจทก์ไม่ได้รับมอบ นับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญา คิดเป็นเงิน 81,888.48 บาท จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดจึงต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของจำเลยที่ 1ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าปรับแก่โจทก์ เพราะเมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีและรับเงินค้ำประกันตามสัญญาข้อ 8 แล้ว ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าปรับตามสัญญาข้อ 9 อีก และหากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดก็ไม่เกิน 70,000บาท เพราะโจทก์ริบหลักประกันไปบางส่วนแล้ว จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิจะได้รับค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันครบกำหนดสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญาจากจำเลยทั้งสองอีกหรือไม่ พิเคราะห์สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.6 แล้ว ตามสัญญาข้อ 8กำหนดไว้ว่า “เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มตามจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาโดยให้นับวันบอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย” และตามสัญญาข้อ 9 กำหนดไว้ว่า “ในกรณีผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ฯลฯ ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่า ผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้” ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์ตามกำหนด โจทก์ได้ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 โดยได้บอกเลิกสัญญาและริบเงินประกันของจำเลยที่ 1 จากธนาคารไปแล้วโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะเรียกร้องเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 เป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญา จนถึงวันที่จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 9 ได้อีกไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน