คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จ่าสิบตำรวจ ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(16)จ่าสิบตำรวจ ส. มีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้และยังมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 อำนาจจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญาดังกล่าวนี้ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดจำกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะ ในเขตท้องที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นประจำการอยู่เท่านั้นเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวจึงมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญาได้ทั่วราชอาณาจักร ดังนั้น จ่าสิบตำรวจ ส. ย่อมมีอำนาจที่จะไปจับกุมจำเลยที่ 1 ซึ่งมีที่อยู่ในเขตท้องที่ สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ได้ เว้นแต่ลักษณะการจับที่ไม่มีหมายจับเป็นไปโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78,81 และ 92 จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2ในการกระทำความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน การที่จำเลยที่ 2ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบตำรวจ ส. เป็นความผิดซึ่งหน้าเมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมแล้วได้นำจ่าสิบตำรวจ ส.ไปจับกุมจำเลยที่ 1 เป็นการต่อเนื่องกันทันที ถือได้ว่าจ่าสิบตำรวจ ส. จับกุมจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดซึ่งหน้าด้วยเช่นกัน เพราะหากล่าช้า จำเลยที่ 1ก็อาจหลบหนีไปได้ และการตรวจค้นตัวจำเลยที่ 1 ยังพบ เมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 95 เม็ด ดังนั้น แม้จ่าสิบตำรวจ ส. เข้าไปจับจำเลยที่ 1 ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่ รโหฐานก็ตาม จ่าสิบตำรวจ ส. ก็ย่อมมีอำนาจที่จะจับกุมจำเลยที่ 1 ได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81(1),92(2) การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดต่อเนื่อง และกระทำต่อเนื่องกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียน และสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ดังนั้นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนซึ่งเป็นท้องที่ที่จับกุมจำเลยที่ 2 ผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 จึงมี อำนาจสอบสวนได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 19 วรรคหนึ่ง(3) และวรรคสาม(ก) พนักงานอัยการโจทก์ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6(7 ทวิ), 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และ 83 ริบของกลาง โดยในส่วนวัตถุออกฤทธิ์ให้ริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุข คืนธนบัตรจำนวน 1,000 บาท ให้แก่เจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2407/2539 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีดังกล่าวด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งลงโทษตามมาตรา 89 และ 116 การกระทำของจำเลยทั้งสองที่มีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเป็นการกระทำอันเดียวกันตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมเดียวลงโทษจำคุกคนละ 10 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี ริบของกลาง ในส่วนวัตถุออกฤทธิ์ริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุข คืนธนบัตรของกลางจำนวน 1,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของส่วนคำขอที่ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2407/2539 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้พิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ยกคำขอส่วนนี้และให้ยกฟ้องในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเวลาเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกนิวัฒน์กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนวางแผนจับกุมผู้ที่จะนำเมทแอมเฟตามีนมาขายให้จ่าสิบตำรวจสมคิดตามที่ติดต่อซื้อไว้ และได้จับกุมจำเลยที่ 2 ใกล้บริเวณถังน้ำประปาดาวคนอง พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 190 เม็ด และเงินใช้ล่อซื้อ 1,000 บาท ต่อมาจ่าสิบตำรวจสมคิด จ่าสิบตำรวจนพรัตน์กับพวกไปจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ห้องเลขที่ 717 แฟลตเอส ดับบลิว แมนชั่น ซึ่งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร พร้อมเมทแอมเฟตามีน 95 เม็ด และบัญชีซื้อขายเมทแอมเฟตามีน 17 แผ่น จำเลยทั้งสองถูกนำส่งพนักงานสอบสวนกล่าวหาร่วมกันเป็นคดีนี้ แต่คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1อยู่ในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร การที่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนจับกุมจำเลยที่ 1ซึ่งอยู่คนละท้องที่และไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากไม่ใช่ความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน การสอบสวนกระทำไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าแม้จ่าสิบตำรวจสมคิดและจ่าสิบตำรวจนพรัตน์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(16) จ่าสิบตำรวจสมคิดและจ่าสิบตำรวจนพรัตน์มีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้ และตามมาตรา 17 ยังมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้ ซึ่งอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญาดังกล่าวนี้ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดจำกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในเขตท้องที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นประจำการอยู่เท่านั้น อันหมายความว่า เจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญาได้ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งต่างกับอำนาจสอบสวนความผิดอาญาของพนักงานสอบสวนที่ถูกจำกัดเขตอำนาจไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18, 19, 20 และ 21 ดังนั้นจ่าสิบตำรวจสมคิดและจ่าสิบตำรวจนพรัตน์ ถึงแม้จะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนก็มีอำนาจที่จะไปจับกุมจำเลยที่ 1 ซึ่งมีที่อยู่ในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกรได้ เว้นแต่ลักษณะการจับที่ไม่มีหมายจับเป็นไปโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78, 81 และ 92หรือไม่เท่านั้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังที่วินิจฉัยมาได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 2ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบตำรวจสมคิดนั้นย่อมเป็นความผิดซึ่งหน้า เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมแล้วได้นำจ่าสิบตำรวจสมคิดและจ่าสิบตำรวจนพรัตน์ไปจับกุมจำเลยที่ 1 เป็นการต่อเนื่องกันทันทีเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นการจับกุมจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดซึ่งหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งหากล่าช้า จำเลยที่ 1ก็อาจหลบหนีไปได้ และจากการตรวจค้นตัวจำเลยที่ 1 ยังได้เมทแอมเฟตามีนอีก 95 เม็ด ด้วย ดังนั้น แม้จ่าสิบตำรวจสมคิดและจ่าสิบตำรวจนพรัตน์เข้าไปจับจำเลยที่ 1 ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่รโหฐานก็ตามก็ย่อมมีอำนาจที่จะจับกุมได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81(1), 92(2) เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียนและสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียน ซึ่งเป็นท้องที่ที่จับกุมจำเลยที่ 2 ผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสอบสวนได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่ง(3) และวรรคสาม(ก) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
พิพากษายืน

Share