คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประการหนึ่ง และให้รับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุ ตามมาตรา 437 อีกประการหนึ่ง ฉะนั้น แม้คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า ต. เป็นคนขับรถจำเลยก็ตาม ในคดีนี้ศาลก็ยังต้องวินิจฉัยต่อไปว่าความรับผิดของจำเลยตามมาตรา 437 มีเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า มาตรา 437 มุ่งหมายให้มีข้อสันนิษฐานเป็นคุณแก่ฝ่ายที่มิใช่ยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล ไม่อาจบังคับใช้บทบัญญัติ มาตรา 437 ได้นั้น เป็นการกล่าวเกี่ยวกับภาระแห่งการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบ มิใช่วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 437 ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า จำเลยได้ขับรถยนต์กระบะเล็กหมายเลขทะเบียน น.ฐ. ๐๗๓๘๕ ของจำเลยด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง กล่าวคือ จำเลยได้ขับรถยนต์อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แล้วหักหลบรถจักรยาน สองล้อที่จอดอยู่ข้างทาง แล่นเข้ามาในเส้นทางเดินรถของโจทก์ ชนรถยนต์ของโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์พัง ใช้การไม่ได้ จะต้องซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมคิดเป็นเงิน ๑๐๔,๗๔๕ บาท ตามใบเสนอราคาท้ายฟ้อง การกระทำของจำเลยซึ่งขับรถของตนเองและรถยนต์ของจำเลยอยู่ในความครอบครองของจำเลยในขณะเกิดเหตุ ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา และโจทก์กับนายสมศักดิ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บเป็นโจทก์ร่วมคดียังไม่ถึงที่สุด รถยนต์ของโจทก์ถูกชนแล้ว เสื่อมราคาไปเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๔๔,๗๙๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุคราวนี้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยรับว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน น.ฐ. ๐๗๓๘๕ จริง จำเลยนั่งรถยนต์คันดังกล่าวโดยลูกจ้างของจำเลยเป็นคนขับด้วยความระมัดระวัง เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทในการขับของโจทก์ฝ่ายเดียว รถยนต์ของจำเลยได้รับความเสียหายต้องซ่อมคิดเป็นเงิน ๓๐,๖๕๐ บาท ตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๑ จำเลยได้รับบาดเจ็บเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน ๓๖,๖๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า รถของโจทก์เป็นรถยนต์ใหม่ต้องซ่อมเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ รถยนต์ น.ฐ. ๐๗๓๘๕ อยู่ในความครอบครองของจำเลยแล่นไปด้วยความประมาท รถยนต์ของโจทก์มิได้ประมาท
คดีอยู่ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องว่า คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้อง มีข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยไม่ได้ขับรถยนต์ดังกล่าว ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว และจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนฟ้องแย้งและสอบข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในเหตุเดียวกันนี้ถึงที่สุ่ดชั้นอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น คดีพอวินิจฉัยแล้วให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าเมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังว่านายตี๋เป็นคนขับ จึงต้องฟังว่าจำเลยมิได้ขับรถยนต์โดยประมาทอันก่อให้เกิดการละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และวินิจฉัยว่าบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๗ มุ่งหมายให้มีข้อสันนิษฐานให้เป็นคุณแก่ฝ่ายที่มิใช่เป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล แต่คดีนี้โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลด้วยกันทั้งสองฝ่าย กรณีไม่อาจบังคับใช้บทบัญญัติข้างต้นได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาชั้นนี้ว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สองประการ กล่าวคือให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ ประการหนึ่ง และให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๗ อีกประการหนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่า ความรับผิดของจำเลยตามมาตรา ๔๓๗ มีเพียงใดหรือไม่ และยังมิได้วินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงไร ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๗ มุ่งหมายให้มี้อสันนิษฐานเป็นคุณแก่ฝ่ายที่มิใช่ยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลด้วยกันทั้งสองฝ่าย กรณีไม่อาจบังคับใช้บทบัญญัติข้างต้นได้นั้น เป็นการกล่าวเกี่ยวภาระแห่งการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบ มิใช่ข้อวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามมาตรา ๔๓๗ ปัญหาที่ว่าจำเลยในฐานะผู้ครอบครองรถยนต์ขณะเกิดเหตุจะต้องรับผิดหรือไม่ยังไม่ยุติ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้ง ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจและทำคำให้การได้ถูกต้อง เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share