คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1257/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อจะทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ในบ้าน แม้จำเลยที่ 4 จะไม่ได้ใช้มีดสปาร์ต้าที่ถือมาฟันเด็กชาย น. จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดดังกล่าวแก่จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดนั้นฟันเด็กชาย น. จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย หลังจากนั้นก็หลบหนีไป ด้วยกัน จำเลยที่ 4 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในบ้าน จึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธ และฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้มีเรื่องกับจำเลยที่ 4 แต่มีเรื่องกับจำเลยที่ 3 และผู้ตาย ทั้งในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ก็อยู่ภายในบ้านของจำเลยที่ 2 มิได้ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ผู้ใดอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายที่จะต้องป้องกัน การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดสปาร์ต้าแก่จำเลยที่ 3 และเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ด้วย แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดดังกล่าวฟันจำเลยที่ 1 ที่ 2 และเด็กชาย น. จึงเป็นการเข้าไปโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลที่อยู่ภายในบ้าน เป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร มิใช่มีเหตุสมควรอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2546 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนพกแบบลูกโม่ ไม่ทราบชนิดและขนาดไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอกกับกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 2 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 3 ที่ 4 และนายวิรุฬห์กับพวกอีกหนึ่งคนซึ่งหลบหนีอีกฝ่ายหนึ่งต่างสมัครใจเข้าร่วมทะเลาะวิวาทกัน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองยิงนายวิรุฬห์ถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 และผู้ตายกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยมีมีดกับไม้หน้าสามเป็นอาวุธติดตัวและไม่มีเหตุอันสมควร แล้วร่วมกันใช้มีดสปาร์ต้ายาวประมาณ 21 นิ้ว และมีดสแตนเลสปลายแหลมยาวประมาณ 24 นิ้ว ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกมีติดตัวไปเป็นอาวุธฟันเด็กชายนิมิตร จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยเจตนาฆ่า มีดที่ฟันถูกเด็กชายนิมิตรที่บริเวณคิ้วและหางตาข้างซ้าย ถูกจำเลยที่ 1 ที่ศีรษะ และถูกจำเลยที่ 2 ที่ศีรษะและหน้าผากจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากเด็กชายนิมิตร จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อสู้ปัดป้อง ทำให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกฟันเข้าไม่ลึกพอที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้ เพียงแต่ทำให้เด็กชายนิมิตร จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 364, 365 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 16 ปี จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365 (2) ประกอบมาตรา 364, 83 ฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย และฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 1 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 เป็นบุตรของผู้ตาย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนตามฟ้องยิงผู้ตาย 2 นัด โดยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการตรวจศพและรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์เอกสารหมาย จ.20 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำผิดด้วยและจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดสปาร์ต้าฟันเด็กชายนิมิตรถูกที่คิ้วและหางตาซ้าย กับฟันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกที่ศีรษะและที่ศีรษะกับหน้าผาก ตามลำดับ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.21 จ.7 และ จ.8 ตามลำดับ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษหรือไม่ โจทก์มีนางสาวอนงค์เป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 2 โต้เถียงกับผู้ตายเรื่องจำเลยที่ 3 เมาแล้วด่าเอะอะโวยวายที่หน้าบ้าน โดยผู้ตายนั่งอยู่ใกล้ศาลพระภูมิหน้าบ้านของพยาน ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งอยู่ที่หน้าบ้านของตนเองและจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเพื่อนกับจำเลยที่ 3 ถือมีดสปาร์ต้ายืนอยู่ห่างกันประมาณ 4 เมตร ต่อมาเห็นจำเลยที่ 1 เดินออกมาจากในบ้านถืออาวุธปืนสั้นแล้วจ่อยิงผู้ตาย 1 นัด ในระยะห่างประมาณ 2 เมตร ผู้ตายวิ่งเข้าไปหา จำเลยที่ 1 วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน จำเลยที่ 3 ที่ 4 และพวกอีกคนหนึ่งวิ่งตามจำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้าน โดยจำเลยที่ 3 นำมีดสปาร์ต้าของจำเลยที่ 4 มาถืออยู่ในมือ และโจทก์ยังมีเด็กชายนิมิตรบุตรของจำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า ขณะที่พยานนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในบ้านเห็นจำเลยที่ 3 ถือมีดสปาร์ต้า ส่วนจำเลยจำเลยที่ 4 และพวกถือไม้คนละท่อนแล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดฟันพยานถูกที่คิ้วซ้ายขณะพยานจะเดินออกไปหน้าบ้าน พยานวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ช่วย เมื่อจำเลยที่ 2 เดินออกมาจากในครัวถึงกลางบ้านก็ถูกจำเลยที่ 3 ฟันที่ศีรษะ ซึ่งจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ถูกจำเลยที่ 3 ใช้มีดสปาร์ต้าฟันขณะอยู่ในบ้านเช่นกัน เห็นว่า จำเลยที่ 4 เป็นหลานเขยของนางสาวอนงค์ไม่ปรากฏว่านางสาวอนงค์มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 4 จึงเชื่อว่านางสาวอนงค์เบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นมิได้ปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 4 เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือมีดสปาร์ต้าและให้มีดสปาร์ต้าแก่จำเลยที่ 3 เมื่อเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 4 ก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 จริงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อจะทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ในบ้าน แม้จำเลยที่ 4 จะไม่ได้ใช้มีดสปาร์ต้าฟันเด็กชายนิมิตรจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดดังกล่าวแก่จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดนั้นฟันเด็กชายนิมิตร จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย หลังจากนั้นก็หลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยที่ 2 ด้วยกัน ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า จำเลยที่ 4 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในบ้าน จึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธ และฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 4 ฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อแย่งอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 ไม่ให้ทำร้ายผู้ใดอีกโดยไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ใด การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการป้องกันภยันตรายอันเกิดจากการกระทำอันละเมิดกฎหมายของจำเลยที่ 1 และมีเหตุอันสมควรที่จำเลยที่ 4 จะเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้มีเรื่องกับจำเลยที่ 4 แต่มีเรื่องกับจำเลยที่ 3 และผู้ตาย ทั้งในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ก็อยู่ภายในบ้านของจำเลยที่ 2 มิได้ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ผู้ใดอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายที่จะต้องป้องกันแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดสปาร์ต้าแก่จำเลยที่ 3 และเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ด้วยแล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดดังกล่าวฟันจำเลยที่ 1 ที่ 2 และเด็กชายนิมิตรจึงเป็นการเข้าไปโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลที่อยู่ภายในบ้านเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร หาใช่มีเหตุสมควรอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความผิดตามที่จำเลยที่ 4 อ้างไม่ ฎีกาจำเลยที่ 4 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share