คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1256/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้เป็นเงินเพื่อเป็นประกันหนี้โจทก์ตามฟ้อง หาใช่เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ เมื่อโจทก์นำเงินดังกล่าวชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่ไม่พอชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนครบได้

ย่อยาว

คดีนี้ กรณีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้จำเลยรับผิดชดใช้ให้โจทก์จนครบ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเพื่อให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายใน ๓๐ วัน จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน ๑ แปลง เรือน ๑ หลัง รวมราคา ๓๓,๗๐๐ บาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว โดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาทซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับจากบริษัทไชน่าอินชัวรันส์ (ไทย) จำกัด และโจทก์ได้รับเงินไปในวันนั้นแล้ว โจทก์ได้ปลดหนี้จำนองให้จำเลยโดยสิ้นเชิง โจทก์ได้ดำเนินการไถ่ถอนจำนองให้จำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยเสีย
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า เงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทเป็นเงินที่จำเลยยอมให้โจทก์หักไว้เพื่อประกันหนี้ตามฟ้อง ไม่ใช่เงินที่จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความตามคำพิพากษาให้โจทก์ครบถ้วน และการปลดจำนองให้แก่จำเลยเพราะจำเลยขอร้อง และโจทก์เห็นว่าจำเลยยอมนำเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันหนี้แล้ว จำเลยทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๖ แต่ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์จึงนำเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา แต่ไม่พอชำระ โจทก์จึงขอยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ที่จำเลยยังเป็นลูกหนี้โจทก์เพียงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๗ เป็นเงิน ๑๔๑,๘๘๙,.๔๗ บาท
วันนัดพร้อม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแถลงรับว่า เอกสารท้ายคำร้องถูกต้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องมีการไต่สวน จึงสั่งให้งดและนัดฟังคำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามเอกสารหมาย ๑ ท้ายคำร้องปรากฏชัดว่าจำเลยยินยอมให้ธนาคารโจทก์หักเงินที่รับมาไว้จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ตามฟ้อง หาใช่เป็นเงินที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ดังจำเลยกล่าวอ้างไม่ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เต็มตามคำพิพากษา โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเอกสารหมาย ๑ ท้ายคำร้องมีข้อความว่า ข้าพเจ้า (จำเลย) ยินยอมให้ธนาคาร (โจทก์) หักเงินที่รับมาไว้จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาทเพื่อเป็นประกันหนี้ตามฟ้อง ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อความในเอกสารนี้แล้วมีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าเงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้นั้น ก็เพื่อเป็นประกันหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าเป็นเงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้เพื่อเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ คดีฟังได้ว่าเงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้เป็นเงินเพื่อเป็นประกันหนี้โจทก์ตามฟ้อง หาใช่เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ เมื่อปรากฏตามคำคัดค้านของโจทก์ว่า โจทก์นำเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่ไม่พอชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนครบได้
พิพากษายืน.

Share