คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 2 ได้จัดสรรที่ดินในนามของจำเลยที่ 2 ให้ประชาชนเช่าซื้อ แต่ที่ดินนั้นมิใช่ที่ดินที่จำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ตามที่จำเลยโฆษณาชี้ชวนแก่ประชาชน และจำเลยไม่สามารถจะโอนขายที่ดินนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชนโดยเจตนาทุจริตผู้เสียหายทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินผ่อนไปบ้างแล้วบริษัทจำเลยที่ 2 ก็ปิดที่ทำการไม่มีคนมาทำงาน แม้จะได้ความว่ามีผู้สั่งจองโดยยังไม่ชำระเงินราว 10 ราย มีผู้ซื้อที่ดินเพียง 2 ราย คือ อ. กับผู้เสียหายและมีแต่ผู้เสียหายเพียงรายเดียวที่ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 กับนางนิสาและนางหทัยรัตน์ซึ่งหลบหนีไป ได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จะขายที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณวัดกิ่ง ตำบลราชาเทวะ ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวนำออกจัดสรรแบ่งขายแบบให้เช่าซื้อโดยวิธีผ่อนส่ง โดยความจริงจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวนั้นเลย และจำเลยกับพวกไม่มีสิทธิและหน้าที่ที่จะจัดการจัดสรรขายที่ดินนั้นแต่ประการใด การหลอกลวงของจำเลยกับพวกเป็นเหตุให้ประชาชนหลายคนและนางสมบูรณ์ พยัคฆาภรณ์หลงเชื่อ โดยเฉพาะนางสมบูรณ์ผู้เสียหายได้ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินดังกล่าว 1 แปลง ในราคา 325,000 บาท และได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อไปแล้ว 42,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผู้จัดการเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 ลงนามในสัญญาในฐานะเป็นผู้ขาย นางสมบูรณ์ลงนามเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้ซื้อ นางนิสาและนางหทัยรัตน์ลงนามเป็นพยานในสัญญา นางหทัยรัตน์เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้รับเงินและลงนามในใบเสร็จรับเงินร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 2 โดยการหลอกลวงดังกล่าว จำเลยกับพวกได้เงินจำนวน 42,000 บาทไปจากนางสมบูรณ์ผู้เสียหายโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83 และให้ร่วมกันใช้เงิน 42,000 บาทคืนให้แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลให้ปรับ 10,000 บาท ส่วนคำขอที่ให้ใช้เงิน 42,000 บาทนั้น ให้ยก เพราะจำเลยได้คืนเงินบางส่วนและทำสัญญากู้ให้ ผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์แล้ว

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

คดีมีปัญหาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่บริษัทจำเลยที่ 2 จัดสรรขายให้ผู้เช่าซื้อ มิใช่ที่ดินที่จำเลยมีกรรมสิทธิ์ตามที่จำเลยโฆษณาชี้ชวนแก่ประชาชน และจำเลยไม่สามารถจะโอนขายที่ดินนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชนโดยเจตนาทุจริต แม้จะได้ความจากจำเลยว่ามีผู้สั่งจองโดยยังไม่ต้องชำระเงินประมาณ 10 ราย มีผู้ซื้อที่ดินเพียง 2 รายคือนางอรุณรัตน์ กับผู้เสียหาย และมีผู้เสียหายเพียงรายเดียวที่ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยก็ตาม ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 แล้ว

พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share