แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่า จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ให้เข้าทำสัญญาขายที่ดินของโจทก์ให้จำเลยโดยที่โจทก์ไม่ได้ตกลงขายนั้น เป็นเรื่องโมฆียะกรรมตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 121 ต้องฟ้องเสียภายใน 10 ปี นับแต่วันทำนิติกรรม
ฟ้องที่ถือว่าเคลือบคลุมไม่ควรรับไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ให้เข้าทำสัญญาขายที่ดินให้จำเลย โดยที่โจทก์ไม่ได้ตกลงขายจึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเสีย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑๐ ปี คดีขาดอายุความ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์เริ่มต้นกล่าวว่าจำเลยได้ตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยต้องการทำนาของโจทก์ในโฉนดที่ ๓๐๑๘ ซึ่งจำนองนายบัวไว้ และให้นายบัวทำนานั้นต่างดอกเบี้ย โดยกำหนดจะเอาเงินจากนายซุ่นเฮงมาใช้หนี้ให้แก่นายบัวเอง แต่นายซุ่นเฮงต้องการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเสียก่อน ให้โจทก์ทำจำนองแก่จำเลยไว้ก่อน เมื่อมีชื่อจำเลยเป็นผู้รับจำนองแล้ว จำเลยจะได้ไปเอาเงินจานายซุ่นเฮง โจทก์หลงเชื่อจึงยอมโอนทะเบียนให้จำเลยในลักษณะการจำนอง โจทก์จึงได้ไถ่ถอนการจำนองจากนายบัว และโอนสิทธิทางทะเบียนให้จำเลยแล้ว จำเลยได้จำนองแก่นายซุ่นเฮงอีกทอดหนี่งในวันเดียวกันนั้นเอง ความจริงโจทก์ไม่ได้ขายให้แก่จำเลย ต่อมาภายหลังโจทก์จึงทราบว่าการกลับกลายว่าโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยไป
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวความขัดกันเองอยู่ในตัว จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่แน่นอน ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ไม่ควรรับไว้พิจารณาชอบที่ศาลจะยกฟ้องเสียได้ แม้หากจะฟังว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา เพราะโจทก์อ้างว่าถูกจำเลยใช้กลฉ้อฉลให้โจทก์เข้าทำนิติกรรม ก็เป็นเรื่องโมฆียะกรรมตามมาตรา ๑๒๑ ป.ม.แพ่ง ฯ โจทก์ฟ้องเมื่อล่วงพ้น ๑๐ ปีแล้วนับแต่วันทำนิติกรรม โจทก์หมดสิทธิบอกล้างแล้วตามมาตรา ๑๔๓
จึงพิพากษายืน