แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลแขวงในข้อหาว่าฉ้อโกงและเรียกเงินคืนจากจำเลยด้วย ศาลแขวงวินิจฉัยแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็จมากล่าว ทั้งมิได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรแจ้งให้ทราบ คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยทางอาญา ส่วนประเด็นที่ว่าเงิน 6,300 บาทที่โจทก์ไปไถ่ถอนจำนองจะเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยจะได้รับเงินอีก 700 บาทจากโจทก์หรือไม่ ศาลแขวงกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย แสดงว่าประเด็นข้อนี้ศาลแขวงยังไม่ได้วินิจฉัย โจทก์มาฟ้องเรียกเงินจำนวน 7,000 บาท ที่ศาลจังหวัดอีก ดังนี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อที่จำเลยอ้างว่าการนำพยานบุคคลเข้าสืบหักล้างพยานเอกสารเป็นการนำสืบที่ไม่ชอบนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 103 และเรือน 2 ห้องในโฉนด ได้เอาไปจำนองพันตรีเงิน วีระพัฒนกุล เป็นเงิน 6,300 บาท ให้โจทก์ไถ่จำนองแล้วจะโอนให้โจทก์ โดยตกลงซื้อขายกัน 18,000 บาท โจทก์จำเลยไปไถ่จำนองกับพันตรีเงินแล้วเป็นเงิน 6,700 บาท โจทก์จ่ายเงินค่าธรรมเนียมในการโอนให้จำเลยอีก 700 บาท โจทก์จำเลยตกลงถือว่าเงิน 7,000 บาทเป็นส่วนหนึ่งของราคาแล้วโจทก์จำเลยไปที่หอทะเบียนที่ดินเพื่อทำการโอน เจ้าพนักงานที่ดินว่ายังโอนไม่ได้ เพราะที่ดินโฉนดดังกล่าวมีชื่อนายสุวรรณ คูณพงษ์ ร่วมด้วย ถ้าจะโอนต้องแบ่งโฉนดโจทก์ขอเงินคืน จำเลยก็ไม่ให้ โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีฐานฉ้อโกง ศาลแขวงอุบลราชธานีพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ พิพากษายกฟ้อง จึงขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงิน 7,000 บาทแก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้เอาเงินของจำเลยไถ่ถอนการจำนอง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาที่ศาลแขวงฯ ยกฟ้อง ในการจะซื้อขายที่พิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่โจทก์อ้างว่าชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยโจทก์ไม่มีใบรับเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ได้ชำระหนี้แล้วเป็นบางส่วน ไม่ต้องห้ามในการฟ้องร้อง กับฟังว่าโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาทเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินที่โจทก์จะซื้อจากจำเลยจริง พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ 7,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้เอาเงินของจำเลยไถ่ถอนการจำนอง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญา ที่ศาลแขวงฯ ยกฟ้อง ในการจะซื้อขายที่พิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่โจทก์อ้างว่าชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยโจทก์ไม่มีใบรับเป็นหนังสือจะนำสืบการใช้เงินไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ได้ชำระหนี้แล้วเป็นบางส่วนไม่ต้องห้ามในการฟ้องร้อง กับฟังว่าโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท เป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินที่โจทก์จะซื้อจากจำเลยจริง พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ 7,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้จ่ายเงิน 7,000 บาทให้แก่จำเลย
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ 1179/2506 ของศาลแขวงฯ ศาลแขวงฯวินิจฉัยแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็จมากล่าวทั้งมิได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งคงแจ้งให้ทราบ คดีจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยทางอาญาได้เท่านั้น ส่วนเงิน 6,300 บาท ที่โจทก์ไปไถ่ถอนจำนองจะเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยจะได้รับเงินอีก 700 บาท จากโจทก์หรือไม่นั้น ศาลแขวงกล่าวไว้ในคำพิพากษาว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย แสดงว่าประเด็นข้อนี้ศาลแขวงอุบลราชธานียังไม่ได้วินิจฉัยเลย ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าเบิกความประกอบคำเบิกความของพันตรีเงินเพื่อให้เห็นว่าโจทก์ได้จ่ายเงิน7,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองและค่าธรรมเนียมโอนเป็นการนำพยานเข้าสืบหักล้างพยานเอกสารเป็นการนำสืบที่ไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นปัญหาต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน