คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบโต้แย้งและกล่าวยอมรับในคำฟ้องฎีกาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนไว้ซึ่งมีข้อความว่า วันเกิดเหตุ ย. เจ้ามือสลากกินรวบได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งจะมีผู้นำมาส่งให้ศาลาที่พักผู้โดยสารริมทางในเวลา 20 นาฬิกา และให้นำไปส่งแก่หญิงคนหนึ่ง ซึ่งย.เคยพาจำเลยที่ 1 ไปดูตัวไว้แล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะต้องไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางและนำไปส่งให้แก่ผู้รับในทันทีตามเวลาและสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ จึงย่อมไม่มีเวลาเหลือพอที่จะไปรับจำเลยที่ 2 ที่บ้านและชวนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารตามที่จำเลยที่ 1 ให้การไว้ได้ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ให้การว่าจำเลยที่ 1 มาชวนจำเลยที่ 2 ไปเป็นเพื่อนโดยไม่ทราบว่าไปที่ใด หาใช่มาชวนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ไม่ อีกทั้งจุดที่จำเลยทั้งสองถูกตรวจค้นจับกุมก็ผ่านร้านอาหารที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าจะไปรับประทานอาหารแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ขัดต่อเหตุผลและข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน ขาดน้ำหนักไม่น่าเชื่อถือพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เป็นน้องของภริยาจำเลยที่ 1 รู้จักคุ้นเคยกัน ขับรถจักรยานยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้าย ถือเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งมีจำนวนถึง 1,979 เม็ดไปส่งให้แก่ผู้อื่น ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนและรถจักรยานยนต์ของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 15 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ยกคำขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 15 ปี และให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าคืนเกิดเหตุจ่าสิบตำรวจอภิสิทธิ์ ออระเอี่ยม และสิบตำรวจตรีวันชัย ชายสีอ่อน กับพวกจับจำเลยทั้งสองและยึดเมทแอมเฟตามีน 1,979 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 35,890 กรัม บรรจุถุงพลาสติก 10 ถุง ถุงละประมาณ 200 เม็ด ใช้กระดาษห่อมัดรวมกันไว้ของกลาง ซึ่งจำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ขณะจำเลยที่ 1นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน สุพรรณบุรี ท-4809 ของกลางซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับแล่นตามถนนสายดอนเจดีย์-สุพรรณบุรี จากทางอำเภอดอนเจดีย์มาถึงบริเวณสามแยกวัดสองเขต ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไปส่งให้แก่บุคคลอื่นที่บริเวณวัดดังกล่าว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบโต้แย้งและกล่าวยอมรับไว้ในคำฟ้องฎีกาว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้ตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ซึ่งมีข้อความว่าวันเกิดเหตุนายยุทธ ไม่ทราบนามสกุล คนในตลาดดอนเจดีย์เจ้ามือสลากกินรวบผู้ที่จำเลยที่ 1 เป็นคนเดินโพยให้ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งจะมีผู้นำมาส่งให้ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารริมทางถนนสายสระกระโจม-ดอนเจดีย์ บริเวณปากทางเข้าวัดหนองหลอดในเวลา 20 นาฬิกา และให้นำไปส่งแก่หญิงคนหนึ่งซึ่งนายยุทธเคยพาจำเลยที่ 1 ไปดูตัวไว้แล้ว ที่ถนนตรงบริเวณวัดสองเขต แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะต้องไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางและนำไปส่งให้แก่ผู้รับในทันทีตามเวลาและสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีเวลาเหลือพอที่จะไปรับจำเลยที่ 2 ที่บ้านและชวนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การไว้ในเอกสารหมาย จ.7 ว่าเป็นการไปเที่ยวได้ ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ให้การไว้ในเอกสารหมาย จ.8 ว่าจำเลยที่ 1 มาชวนจำเลยที่ 2 ไปเป็นเพื่อนโดยจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าไปที่ใด หาใช่จำเลยที่ 1 มาชวนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารดอนคาดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ไม่ประกอบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 นำเข้าสืบเป็นพยานเบิกความว่า เส้นทางที่จะไปส่งเมทแอมเฟตามีนนั้นจะต้องผ่านร้านอาหารดอนคา เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองถูกตรวจค้นจับกุมที่สามแยกวัดสองเขตซึ่งเป็นจุดส่งมอบเมทแอมเฟตามีน จึงแสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ผ่านร้านอาหารดังกล่าวไปแล้ว ขัดกับที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าจะไปรับประทานอาหารกับจำเลยที่ 1 เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนถึง 1,979 เม็ด ใส่ถุงพลาสติกห่อด้วยกระดาษมัดรวมกันเป็นห่อเดียว มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จำเลยที่ 1 จะซุกซ่อนไว้ในกางเกงโดยไม่ให้จำเลยที่ 2 สังเกตเห็นได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การไว้ในเอกสารหมาย จ.7 ว่า จำเลยที่ 1 เอาห่อเมทแอมเฟตามีนของกลางใส่ไว้ในหมวกผ้าถือนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 2 เป็นคนขับมาตั้งแต่ไปชวนจำเลยที่ 2 จนกระทั่งถูกตรวจค้นจับกุม จำเลยที่ 1 หาได้เอาซ่อนไว้ในกางเกงใช้เสื้อคลุมไว้ไม่ให้จำเลยที่ 2 เห็นและจำเลยที่ 1 เพิ่งเอาโยนทิ้งไปเมื่อถูกเรียกให้หยุดตรวจค้นดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบไม่ ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ขัดเหตุผลและข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนหลายประการ ขาดน้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เป็นน้องของภริยาจำเลยที่ 1 รู้จักคุ้นเคยกันขับรถจักรยานยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายถือเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งมีจำนวนถึง 1,979 เม็ด ไปส่งให้แก่ผู้อื่น ประกอบกับการที่จำเลยที่ 2 พยายามนำสืบบิดเบือน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีก็ไม่เป็นเหตุให้สงสัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนรู้เห็นเพราะปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.2 และแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6 ประกอบกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจอภิสิทธิ์และสิบตำรวจตรีวันชัยพยานโจทก์ว่า จ่าสิบตำรวจอภิสิทธิ์ไปจอดรถซุ่มรออยู่มุมทางแยกไปบ้านจร้าเก่า สิบตำรวจตรีวันชัยกับพวกที่เหลือยืนรออยู่ตรงทางโค้งบริเวณสามแยกเกิดเหตุฝั่งตรงข้าม เมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถเข้ามาจนเกือบจะถึงแล้วจ่าสิบตำรวจอภิสิทธิ์จึงได้ใช้ไฟฉายส่องเรียกให้หยุดจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงหลบหนีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share