แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบ ส. พยานจำเลยมา 2 นัดแล้ว นัดแรกที่ขอเลื่อนจำเลยแถลงรับรองว่าถ้า ไม่ได้พยานปากนี้มาสืบก็ให้ศาลตัดพยานปากนี้ได้ ในนัดที่สามจำเลยควรนำ ส. มาสืบให้ได้ จำเลยกลับบอก ส. ให้ระงับไม่ต้องมาศาล ที่จำเลยอ้างว่ากำลังเจรจาขอลดดอกเบี้ยกับโจทก์อยู่นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องให้กรรมการของโจทก์พิจารณาเสียก่อนและมีผลเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พฤติการณ์จำเลยส่อไปในทางที่จะประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีไปสืบ ส. และถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป จึงชอบแล้ว จำเลยมีหนังสือนัดหมายโจทก์ขอปฏิบัติการชำระหนี้ แต่หนี้ที่ระบุในหนังสือดังกล่าวไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จะต้องชำระให้โจทก์โจทก์ย่อมปฏิเสธที่จะไม่รับชำระหนี้ได้และไม่ถือว่าโจทก์ตก เป็นผู้ผิดนัด จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้องส่วนที่เป็นดอกเบี้ย จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์เฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ดังกล่าว มิฉะนั้นก็ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัยพ์สินอื่น ๆ ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้งแต่โจทก์เพิกเฉย โจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ผิดนัด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง แต่โจทก์ผิดนัก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน1,542,588.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน881,479.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ที่จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์8,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2514 จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์สาขาเอกมัย ตามบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 342 ภายในวงเงินไม่เกิน600,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีมีกำหนดระยะเวลา 12เดือน ในการนี้จำเลยได้นำที่ดินตำบลบางจาก อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานคร รวม 7 โฉนด จำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าวไว้ เมื่อครบกำหนด 12 เดือน คือเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2515 จำเลยได้ขอต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปอีก 12 เดือน และเมื่อวันที่25 กุมภาพันธ์ 2517 ได้ตกลงเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2517 เป็นต้นไปและต่อมาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2517 ได้ไปจดทะเบียนเพิ่มดอกเบี้ยจำนองให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีด้วย นับแต่ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์สาขาเอกมัยแล้ว จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากธนาคารโจทก์ สาขาเอกมัย คิดถึงวันที่ 27 มีนาคม 2518 เป็นเงิน 881,479.11บาท ตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ. 7 วันที่ 13 กรกฎาคม 2519โจทก์จึงมีหนังสือเอกสารหมาย จ. 14 บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลย และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามของโจทก์แล้วยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำนวน 881,479.11บาทจริงแต่ไม่ยอมชำระดอกเบี้ยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำำเลยต่อไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
ปัญหาข้อแรกที่จะวินิจฉัยมีว่า ที่ศาลชั้นต้นสังงดสืบพลโทสมขัตพันธ์พยานจำเลยชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบพลโทสมมา 2 นับแล้ว นัดแรกที่ขอเลื่อนจำเลยก็แถลงรับรองว่าถ้าไม่ได้พยานปากนี้มาสืบก็ให้ศาลตัดพยานปากนี้ได้ ถึงวันนัดพลโทสมไม่มาศาล ศาลชั้นต้นก็ให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบพยานปากนี้ต่อไปอีก ในนัดที่สามจำเลยควรนำพลโทสมมาสืบให้ได้จำเลยกลับบอกพลโทสมให้ระงับไม่ต้องมาศาล ที่จำเลยอ้างว่ากำลังเจรจาขอลดดอกเบี้ยกับโจทก์อยู่ ข้อเท็จจริงก็ได้ความตามคำแถลงของนายโจทก์ว่า เรื่องการขอลดดอกเบี้ยนี้ต้องให้กรรมการของโจทก์พิจารณาเสียก่อน และมีผลเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะไม่นำพยานมาสืบ การที่จำเลยบอกพลโทสมว่าไม่ต้องมาเบิกความจึงมีพฤติการณ์ส่อไปในทางที่จะประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีไปสืบพลโทสมและถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป จึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพลโทสมพยานจำเลยอีก ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปนี้ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน881,479.11 บาท หลังจากมีการบอกเบิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วหรือไม่ ปัญหานี้จำเลยเบิกความว่าเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และแจ้งยอดหนี้จำนวน 881,479.11 ให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยได้ไปพบพลตรีศักดิ์ พิศิษฐพงษ์ ผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาเอกมัยในขณะนั้น ขอผ่อนเวลาชำระหนี้และขอลดดอกเบี้ย พลตรีศักดิ์ได้ตกลงไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยหลังวันที่ 27 มีนาคม 2518 ซึ่งโจทก์บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อไป ข้อเท็จจริงนี้จำเลยไม่ได้ตัวพลตรีศักดิมายืนยัน ทั้งคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวขัดต่อเหตุผลพลตรีศักดิ์เป็นเพียงผู้จัดการสาขาของโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจตกลงไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ ตามคำจำเลยตอนคำถามค้านของทนายโจทก์ก็ได้ความว่า เวลาไปพูดกับพลตรีศักดิ์ พลตรีศักดิ์เพียงแต่พูดว่าขอดูเรื่องก่อน ต่อมาพลตรีศักดิ์มาบอกให้จำเลยทราบ พลตรีศักดิ์ก็บอกแต่เพียงว่าได้พูดให้แล้วเท่านั้น ไม่ได้ความว่าโจทก์ยอมตกลงด้วย บันทึกข้อตกลงก็ไม่ได้ทำกันไว้ ทั้งไม่มีการไปจนทะเบียนระงับดอกเบี้ยจำนอง อันจะทำให้เห็นว่าโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยต่อไปแล้ว คดีนี้จำเลยนำนางสาวกมลทิพย์ รุ่งนนทรัตน์ ผู้ช่วยฝ่ายการเงินธนาคารนครหลวงไทยจำกัด สาขาสำเพ็ง มาสืบ นางสาวกมลทิพย์ก็เบิกความว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว ทางธนาคารจะไม่ลงรายการดอกเบี้ยในบัญชีกระแสรายวันของธนาคารอีก ด้วยเหตุนี้ในบัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ. 7 ของจำเลยจึงไม่มีรายการดอกเบี้ยลงไว้ ตามที่โจทก์นำสืบ จะมีการตั้งพักบัญชีดอกเบี้ยไว้ต่างหาก ที่โจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย ล. 1 ถึง ล. 8 ถึงจำเลยเป็นแต่เพียงแจ้งยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยเป็นหนี้อยู่จจำนวน 881,479.11 บาท ให้จำเลยทราบและรับรองยอดหนี้นั้นเท่านั้นไม่ได้หมายความว่าโจทก์ตตกลงไม่คิดดอกเบี้ยในยอดเงินดังกล่าวจากจำเลยแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่าได้เคยมีหนังสือนัดหมายโจทก์ให้ไปทำการไถ่ถอนจำนอง และรับชำระหนี้จากจำเลยที่สำนักงานที่ดิน โจทก์ไม่ไปตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดนัด ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังผิดนัดจากจำเลย ก็เห็นว่าตามหนังสือนัดหมายของจำเลย เอกสารหมาย ล. 10 ถึง ล. 13 ที่จำเลยมีถึงโจทก์ จำเลยจะขอชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 881,479.11 บาท ไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จะต้องชำระให้โจทก์ โจทก์ย่อมปฏิเสธที่จะไม่รับชำระหนี้ดังกล่าวได้ การที่โจทก์ไม่รับชำระหนี้และไปไถ่ถอนจำนองให้ จะถือว่าโจทก์ผิดนัดไม่ได้โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน 881,479.11 บาท จากจำเลยหลังวันที่บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วได้ฎีกาจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจากจำเลยตามทุนทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดนั้น เห็นว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะในชั้นฎีกาจำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ 881,479.11 แต่อ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าว ขอให้พิพาทยกฟ้องส่วนที่เป็นดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องทั้งหมด จำเลยจึงควรต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์เฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระให้โจทก์เท่านั้น”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาทแทนโจทก์.