คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบ ส. พยานจำเลยปากสุดท้ายมา 2 นัด นัดแรกที่ขอเลื่อนจำเลยแถลงรับรองว่าถ้าไม่ได้พยานปากนี้มาสืบก็ให้ศาลตัดพยานปากนี้ได้ ถึงวันนัด ส.ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบพยานปากนี้ต่อไปอีกในนัดที่สามจำเลยบอก ส.ว่าไม่ต้องมาเบิกความที่ศาลโดยอ้างว่ากำลังเจรจาขอลดดอกเบี้ยกับโจทก์ ก็ปรากฏว่า การลดดอกเบี้ยนี้ต้องให้กรรมการของโจทก์พิจารณาเสียก่อน และมีผลเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะไม่นำพยานมาสืบ และมีพฤติการณ์ส่อไปในทางที่จะประวิงคดี ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไปได้
จำเลยมีหนังสือนัดหมายโจทก์ไปทำการไถ่ถอนจำนองและรับชำระหนี้จากจำเลยที่สำนักงานที่ดิน โดยจำเลยจะขอชำระหนี้ให้โจทก์เพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จะต้องชำระให้โจทก์ โจทก์ย่อมปฏิเสธที่จะไม่รับชำระหนี้ดังกล่าวได้ การที่โจทก์ไม่รับชำระหนี้และไปไถ่ถอนจำนองให้ จะถือว่าโจทก์ผิดนัดไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์สาขาเอกมัยมีบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ ๓๔๒ จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินไม่เกิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี มีกำหนดเวลา ๑๒ เดือน จำเลยจำนองที่ดินรวม ๗ โฉนดพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์และได้มีการต่อสัญญาต่อไปอีก ๑๒ เดือน จำเลยยอมเพิ่มดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยนำเงินเข้าหักทอนสะพัดบัญชีต่อไปเป็นการขยายอายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนด ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญา ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง จำเลยเพิกเฉย คิดยอดหนี้ถึงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๘ เป็นเงิน ๘๘๑,๔๗๙.๑๑ บาท โจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัด คิดจนถึงวันฟ้องรวม ๕ ปีเป็นเงิน ๖๖๑,๑๐๙.๓๓บาท จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๕๔๒,๕๘๘.๔๔ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๘๘๑,๔๗๙.๑๑ บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาจำนองแล้ว คงมียอดหนี้ถึงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๘ เป็นเงิน ๘๘๑,๔๗๙.๑๑ บาทจริงแต่นับจากวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๘ เป็นต้นไป โจทก์งดคิดดอกเบี้ยกับจำเลยในต้นเงินดังกล่าวจำเลยไม่เคยรับหนังสือทวงถามบอกกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ไปรับชำระหนี้ที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองในยอดหนี้ ๘๘๑,๔๗๙.๑๑บาท หลายครั้ง แต่โจทก์เพิกเฉย จึงเป็นผู้ผิดนัด จำเลยไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว และสืบพยานจำเลยได้ ๒ ปากจำเลยขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีในการสืบพยานจำเลยปากสุดท้าย และถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานต่อไป พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยหรือพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบพลโทสมพยานจำเลยปากสุดท้ายมา ๒ นัดแล้ว นัดแรกที่ขอเลื่อนจำเลยแถลงรับรองว่าถ้าไม่ได้พยานปากนี้มาสืบก็ให้ตัดพยานปากนี้ได้ ถึงวันนัดพลโทสมไม่มาศาล ศาลชั้นต้นก็ให้โอกาสจำเลยเลื่อนสืบพยานปากนี้ต่อไปอีก ในนัดที่สามจำเลยกลับบอกพลโทสมให้ระงับไม่ต้องมาศาล ที่จำเลยอ้างว่ากำลังเจรจาขอลดดอกเบี้ยกับโจทก์อยู่ ก็ได้ความตามคำแถลงของทนายโจทก์ว่าเรื่องการขอลดดอกเบี้ยนี้ต้องให้กรรมการของโจทก์พิจารณาเสียก่อนและมีผลเพียง ๕๐ เปอร์เซนต์เท่านั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะไม่นำพยานมาสืบ การที่จำเลยบอกพลโทสมว่าไม่ต้องมาเบิกความ จึงมีพฤติการณ์ส่อไปในทางที่จะประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไปจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพลโทสมพยานจำเลยอีก
สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน ๘๘๑,๔๗๙.๑๑ บาท หลังจากมีการบอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วหรือไม่นั้นศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่ได้ตกลงว่าจะไม่คิดดอกเบี้ยในยอดเงินดังกล่าวแต่อย่างใด แล้ววินิจฉัยว่า ตามหนังสือนัดหมายของจำเลยที่จำเลยมีถึงโจทก์จำเลยจะขอชำระหนี้ให้โจทก์เพียง ๘๘๑,๔๗๙.๑๑ บาท ไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จะต้องชำระให้โจทก์ โจทก์ย่อมปฏิเสธที่จะไม่รับชำระหนี้ดังกล่าวได้ การที่โจทก์ไม่รับชำระหนี้และไปไถ่ถอนจำนองให้ จะถือว่าโจทก์ผิดนัดไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวจากจำเลยหลังวันที่บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วได้
พิพากษายืน

Share