แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นลูกจ้างในโรงแรมแห่งหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นพนักงานขายสุรานั้น สุราที่จะเลยไปเบิกมาขายยังอยู่ในความครอบครองของโรงแรม ฉะนั้น เมื่อจำเลยร่วมกันเอาสุรานั้นไปเป็นของตน โดยมีเจตนาทุจริต เช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักสุรา ๑ ขวด ของบริษัทสหโรงแรมไทย และการท่องแที่ยว จำกัด ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑),๘๓ ให้จำคุกจำเลยคนละ ๖ เดือน ของกลางคืนผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสองไว้มีกำหนด ๓ ปี แต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งทำความเห็นแย้ง เห็นควรยกฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ทำความเห็นแย้งรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า สุราของกลางในคดีนี้เป็นสุราของโรงแรม จำเลยเอาไปโดยจงใจเอาเป็นของจำเลย ย่อมเป็นการแสดงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นการกระทำโดยสุจริต เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยคบคิดกันเอาสุราของโรงแรมไป เป็นของตนโดยมีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ไปเบิกสุราของกลางมาขาย สุรานั้นจึงตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ถ้าจะเป็นผิดก็เป็นเรื่องยักยอกทรัพย์นั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ ๒ ได้รับสุราของกลางไปขายโดยให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบนั้น เป็นเพียงระเบียบการภายในเท่านั้น ความจริงสุรายังอยู่ในความครอบครองของโรงแรม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยทั้งสอง