แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ เป็นของโจทก์กับสามี สามีโจทก์ตายไป 7 ปีแล้ว แต่ก่อนตายสามีโจทก์ได้เรียกบุตรทุกคนมาสั่งต่อหน้าว่า ที่พิพาทนี้ถ้าสามีโจทก์ตายให้เป็นของโจทก์ หรือถ้าโจทก์ตายก่อนก็ให้เป็นของสามีโจทก์ เมื่อสามีโจทก์ตายแล้วโจทก์ก็ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตามที่สามีโจทก์สั่งไว้ จำเลยผู้เป็นบุตรคนหนึ่งมิได้ครอบครองที่พิพาท เมื่อโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นของตนมาตั้งแต่สามีตายเกิน 1 ปีแล้ว และที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า ทายาทอื่นจึงเรียกเอาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 สิทธิที่จะรับมรดกของจำเลยจึงเป็นอันหมดไป จะอ้างว่ายังเป็นมรดกของบิดาอยู่อีกไม่ได้ ที่พิพาทย่อมเป็นของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ ๓ แปลง เป็นของโจทก์และนายปลั่งสามีโจทก์มาราว ๕๐ ปีแล้ว นายปลั่งตายไปแล้วราว ๗ ปี ก่อนตายนายปลั่งได้ยกที่พิพาทส่วนของนายปลั่งให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว โจทก์ครอบครองเกินกว่า ๑ ปี ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๐๓ จำเลยซึ่งเป็นบุตรได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินนายปลั่ง ๓ แปลงนี้ โดยจำเลยและบุตรทุกคนทราบดีแล้วว่านายปลั่งได้ยกให้โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิรับมรดก โจทก์บอกให้ถอนคำร้องก็ไม่ยอม ขอให้พิพากษาว่าที่ ๓ แปลงนี้เป็นของโจทก์ จำเลยขาดสิทธิรับมรดก
จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกที่พิพาทตามสิทธิของจำเลย นายปลั่งไม่เคยยกให้โจทก์ โจทก์มิได้ครอบครองแต่ผู้เดียว จำเลยได้ครอบครองร่วมกับทายาททุกคน มิได้ทอดทิ้งสละสิทธิ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาททั้ง ๓ แปลง โจทก์มีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่มรดกของนายปลั่ง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ก่อนตาย ๓ เดือน นายปลั่งได้เรียกบุตรทุกคนมาสั่งต่อหน้าว่า ที่พิพาท ๓ แปลงนี้ถ้านายปลั่งตายให้เป็นของโจทก์เก็บกินตอนแก่ ถ้าโจทก์ตายก่อนก็ให้เป็นของนายปลั่งเก็บกินตอนแก่เช่นกัน ถึงแม้จะไม่มีผลเป็นนิติกรรมยกให้แต่ก็ยังมีผลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ว่า เมื่อนายปลั่งตายแล้ว โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตามที่นายปลั่งสั่งไว้ มิใช่ครอบครองเพื่อทายาททั้งหลายด้วย หากจำเลยถือว่าเป็นมรดก ย่อมไม่รับรู้คำสั่งของบิดา จำเลยก็ต้องแสดงสิทธิของตนเข้าครอบครองที่พิพาท แต่โจทก์ครอบครองและเก็บผลประโยชน์จากที่พิพาทแต่ผู้เดียว จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาท เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยมิได้แสดงสิทธิที่จะรับมรดกของนายปลั่งแต่อย่างใด โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาตั้งแต่นายปลั่งตายเกิน ๑ ปีแล้ว ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า ทายาทอื่นจึงเรียกเอาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ สิทธิที่จะรับมรดกของจำเลยจึงเป็นอันหมดไป ที่ศาลล่างพิพากษาให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ชอบแล้ว พิพากษายืน