คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถ้าตามพฤติการณ์ที่ปรากฏทำให้วิญญูชนธรรมดาเข้าใจว่าทรัพย์ที่จะนำยึดเป็นของลูกหนี้แม้เป็นการยึดทรัพย์ก่อนคำพิพากษา หากความปรากฏภายหลังว่าแท้ที่จริงนั้นทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของบุคคลอื่นเมื่อศาลสั่งปล่อยทรัพย์นั้นให้พ้นจากการยึดแล้วเจ้าของทรัพย์อันแท้จริงจะมาฟ้องผู้นำยึดว่าละเมิดไม่ได้ เพราะฟังไม่ได้ว่าผู้นำยึดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

ย่อยาว

ได้ความว่าเรือกลไฟชื่อ “ประโยชน์พูนผล” เป็นของ ด.ช.นุกูลโดยทะเบียนเรือมีชื่อ ด.ช.อนุกูลหรือนุกูลเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่นายประสงค์บิดา ด.ช.นุกูลแต่ผู้เดียวได้ครอบครองจัดการเรือกลไฟลำนี้เรื่อยมาประมาณ 10 ปีเศษ โดยเอาไปรับจ้างลากจูงเรือต่าง ๆ บ้าง ไปรับจ้างโรงสีลากจูงเรือบ้าง ตลอดจนจ้างคนประจำเรือและจัดการเอาเรือกลไฟลำนี้เข้าอู่ซ่อม เมื่อนายประสงค์กู้เงินนางละมูลมา นายประสงค์ก็เอาเรือกลไฟลำนี้ไปประกันเงินกู้ เมื่อเรือกลไฟลำนี้ถูกอายัดก่อนศาลได้พิพากษาคดีแพ่งแดงที่ 675/2495 โจทก์หรือนายประสงค์ก็ไม่ได้คัดค้านแต่ประการใด เวลาเจ้าพนักงานไปยึดเรือกลไฟลำนี้ ทะเบียนเรือก็ไม่ได้ติดไว้ที่เรือ โจทก์เพิ่งจดทะเบียนรับ ด.ช.นุกูลเป็นบุตรบุญธรรมหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งอายัดเรือกลไฟลำนี้แล้ว และความจริง ด.ช.นุกูลก็เป็นบุตรนายประสงค์นั่นเอง

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง ให้ยกฟ้องโจทก์

โดยศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ได้ความดังกล่าวข้างต้นย่อมทำให้วิญญูชนธรรมดาเข้าใจว่าเรือกลไฟลำนี้เป็นของนายประสงค์การที่จำเลยนำยึดเรือกลไฟลำนี้ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

Share