คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีเรื่องรุกล้ำที่ดินและละเมิด โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าที่โจทก์มีเนื้อที่เท่าใดและมีอาณาเขตกว้างยาวติดต่อกันอย่างไร โจทก์เพียงแต่กล่าวในฟ้องว่าโจทก์จำเลยมีที่ดินติดต่อกันตามแผนที่ท้ายฟ้อง และจำเลยปลูกห้องแถวทำหลังคำล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ก็เป็นคำฟ้องที่เข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ถือว่าเคลือบคลุม
ศาลจะเชื่อฟังคำพยานบุคคลปากใดหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาลเมื่อศาลใช้ดุลยพินิจเชื่อฟังพยานบุคคลปากใดแล้วจะมาโต้แย้งว่าศาลมิได้วินิจฉัยคดีจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ได้เพราะเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องมีใจความว่าโจทก์จำเลยมีที่ดินติดต่อกัน จำเลยปลูกห้องแถวหลังคารุกล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ประมาณ ๗๐ ซม. จึงขอบังคับจำเลยรื้อ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินจำเลยประมาณ ๑ คืบขอให้บังคับ โจทก์รื้อถอนรางน้ำและหลังคา เรียกค่าเสียหาย ๑,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าไม่ได้รุกล้ำที่ดินจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนหลังคาอาคารบ้านเรือนของจำเลยออกไปให้พ้นจากแดนกรรมสิทธิที่ดินของโจทก์ตามขอและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาเห็นว่าข้อที่จำเลยฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อ ก.ม. ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยมิได้กล่าวว่าที่ดินที่ซื้อจากนายชื่นมีอาณาเขตกว้างยาวและติดต่ออย่างไรนั้นเพียงเหตุนี้จะถือว่าฟ้องเคลือบคลุมมิได้ เพราะโจทก์กล่าวในฟ้องว่าโจทก์จำเลยมีที่ติดต่อกันตามแผนที่ท้ายฟ้องและจำเลยปลูกห้องแถวทำหลังคาล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ซึ่งเป็นคำฟ้องที่จำเลยย่อมเข้าใจในข้อหา+ดีแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่าที่โจทก์มีเนื้อที่เท่าใด
ส่วนฎีกาที่ว่าศาลมิได้วินิจฉัยคดีจากคำพยานหลักฐานในสำนวนโดยไปเชื่อฟังคำนางดีซึ่งเป็นคนโกรธกับจำเลยก็เป็นข้อเท็จจริงเพราะการที่ศาลจะเชื่อฟังคำนางดีหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของศาล จะว่าวินิจฉัยคดีผิดจากหลักฐานในสำนวนมิได้ เหตุนี้จึงพิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย

Share