คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจัดบริการนำเที่ยวโดยวิธีขายบัตรนำเที่ยว ไม่ว่าโจทก์ขายบัตรนำเที่ยวให้แก่สำนักงานท่องเที่ยวหรือเป็นเรื่องสำนักงานท่องเที่ยวทำหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนโจทก์ในการขายบัตรนำเที่ยว โจทก์ก็จะต้องจ่ายผลประโยชน์ให้แก่สำนักงานท่องเที่ยวผลประโยชน์ซึ่งได้แก่ผลต่างของราคาในบัตรนำเที่ยวกับราคาที่โจทก์คิดกับสำนักงานท่องเที่ยวก็คือค่าใช้จ่ายในการขายบัตรนำเที่ยวของโจทก์ ราคาตามบัตรนำเที่ยวจึงเป็นส่วนที่โจทก์ได้รับหรือพึงได้รับต้องถือว่าเป็นรายรับของโจทก์ทั้งหมดตามความในมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ต้องคำนวณรายรับของโจทก์ตามความเป็นจริงที่ปรากฏราคาในบัตรนำเที่ยว จะคำนวณรายรับจากราคาที่คิดจากสำนักงานท่องเที่ยวไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2520 ถึงวันที่31 ธันวาคม 2520 รวมเงินเพิ่มเป็นเงิน 36,890 บาท 36 สตางค์กับมีหนังสือแจ้งประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ชำระภาษีการค้าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 115,525 บาท 82 สตางค์ โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า รายรับของโจทก์คือจำนวนเงินที่สำนักงานท่องเที่ยวชำระให้ ส่วนลดจึงไม่ใช่รายรับของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร การที่จำเลยนำส่วนลดมาคำนวณเพื่อให้โจทก์เสียภาษีการค้าโดยถือเป็นรายรับของโจทก์ จึงเป็นการประเมินภาษีการค้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษาแก้เป็นว่าคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้นำค่าส่วนลดในการที่โจทก์ขายบัตรให้สำนักงานท่องเที่ยวมาคำนวณเป็นรายได้ของโจทก์เพื่อให้โจทก์เสียภาษีการค้านั้นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ในปัญหาที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า การที่จำเลยนำส่วนลดในการขายบัตรนำเที่ยวให้แก่สำนักงานท่องเที่ยวมาคำนวณเพื่อให้โจทก์เสียภาษีการค้าโดยถือว่าเป็นรายรับของโจทก์ชอบด้วยมาตรา 79 จัตวาแห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่ว่าโจทก์จะขายบัตรนำเที่ยวให้แก่สำนักงานท่องเที่ยวโดยให้สำนักงานท่องเที่ยวไปขายให้แก่ชาวต่างประเทศเองดังโจทก์อ้างหรือจะเป็นเรื่องสำนักงานท่องเที่ยวทำหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนโจทก์ในการขายบัตรนำเที่ยวก็ตาม ก็จะเห็นได้ชัดว่าหากโจทก์จะทำหน้าที่ขายบัตรนำเที่ยวให้แก่ชาวต่างประเทศเสียเองโดยตรงโจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายและอาจจะมากกว่ามอบให้สำนักงานท่องเที่ยวซึ่งมีความชำนาญในการขายบัตรนำเที่ยวมากกว่า เพราะสำนักงานท่องเที่ยวเหล่านั้นย่อมจะไม่ได้ขายบัตรนำเที่ยวเฉพาะของโจทก์แต่จะขายรวมทั้งของผู้อื่นด้วย ดังนั้น การที่โจทก์มอบให้สำนักงานท่องเที่ยวขายให้ต่อ จะเป็นโดยสำนักงานท่องเที่ยวมาเอาไปขายเองหรือโดยโจทก์มอบให้ขายโจทก์ก็จะต้องจ่ายผลประโยชน์ให้แก่สำนักงานท่องเที่ยวอย่างไม่มีปัญหา ผลประโยชน์ซึ่งได้แก่ผลต่างของราคาในบัตรนำเที่ยวกับราคาที่โจทก์คิดกับสำนักงานท่องเที่ยว ก็คือค่าใช้จ่ายในการขายบัตรนำเที่ยวของโจทก์ หรือนัยหนึ่งคือค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการของโจทก์นั่นเอง จะเห็นได้ว่าโจทก์จะขายบัตรนำเที่ยวเองหรือให้สำนักงานท่องเที่ยวเป็นผู้ขาย โจทก์ก็คงขายบัตรนำเที่ยวรายพิพาทในราคา 380 บาท ราคาตามบัตรนำเที่ยว 380 บาท จึงเป็นส่วนที่โจทก์ได้รับหรือพึงได้รับต้องถือว่าเป็นรายรับของโจทก์ทั้งหมดตามความหมายในมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์หาชอบที่จะไม่นำผลต่างของราคาบัตรนำเที่ยวกับราคาที่โจทก์คิดจากสำนักงานท่องเที่ยวมาคำนวณเป็นรายรับไม่โจทก์จึงต้องคำนวณรายรับของโจทก์ในส่วนนี้ตามความเป็นจริงที่ขายให้แก่ผู้ท่องเที่ยวดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 จัตวาแห่งประมวลรัษฎากรตามที่จำเลยทั้งสี่ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์รวมทั้งที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้นำค่าส่วนลดในการที่โจทก์ขายบัตรนำเที่ยวให้สำนักงานท่องเที่ยวมาคำนวณเป็นรายรับของโจทก์เพื่อให้โจทก์เสียภาษีการค้าด้วย นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share