แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่กรมข่าวทหาร สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุดซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากกระทรวงกลาโหม แต่กองบัญชาการทหารสูงสุดเป็นส่วนราชการส่วนหนึ่งในสังกัดกระทรวงกลาโหมตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นจากการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ กระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการทหารสูงสุดต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76
ค่าเสียหายในเรื่องละเมิดนั้นแม้โจทก์นำสืบถึงจำนวนแน่นอนไม่ได้ศาลก็อาจกำหนดให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีละเมิดเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์สำหรับจำเลยร่วมจึงขาดอายุความฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าโคโรลล่า คันหมายเลขทะเบียน ๘ค-๙๑๐๔ กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ที่ ๑ รับประกันภัยไว้ จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการศูนย์ปฏิบัติการข่าวสำนักบัญช่การทหารสูงสุดสังกัดจำเลยที่ ๒ และปฏิบัติราชการอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ๒ค -๗๐๐๔ กรุงเทพมหานคร โดยได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้ใช้ในศูนย์ปฏิบัติการข่าวสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ คันดังกล่าวไปปฏิบัติหน้าที่ราชการตามที่ได้รับการมอบหมายจากจำเลยที่ ๒ จากสะพานกรุงธนโฉมหน้าไปสี่แยกถนนราชวิถีตัดกับ ถนนพระราม ๕ ด้วยความประมาทตัดหน้ารถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ที่ขับสวนทางจะไปทางสะพานกรุงธนในระยะกระชั้นชิดจึงเกิดชนกันอย่างแรงทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ เสียหลักแล่นไปชนเสาสัญญาณไฟจราจรด้านสวนสัตว์ดุสิตเป็นผลให้โจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ เสียหายอย่างมาก โจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้รับประกันได้ซ่อมรถของโจทก์ที่ ๒ เป็นที่เรียบร้อย สิ้นเงินไป ๖๕,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑ จึงได้รับช่วงสิทธิในการฟ้องคดีนี้ และโดยที่รถของโจทก์ที่ ๒ ยังใหม่จากเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้รถของโจทก์ที่ ๒ เสื่อมสภาพคิดเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ในระหว่างซ่อมรถ ๑๘๐ วัน โจทก์ที่ ๒ ต้องจ้างรถแท็กซี่ไปทำธุรกิจตามอาชีพไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ กระดูกขาแตก มีบาดแผลที่ใบหน้าและลำตัว เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ๕,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๕๓,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๖๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ และ ๕๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า รถยนต์คันเกิดเหตุเป็นของกองบัญชาการทหารสูงสุดและมิได้นำไปปฏิบัติการในกิจการของจำเลยที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๑ นำไปใช้ในกิจการของกองบัญชาการทหารสูงสุดซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒ โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทตามฟ้อง หากแต่เกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๒ ที่ขับรถยนต์ฝ่าสัญญาณไฟจราจร พุ่งเข้ามาชนรถที่จำเลยที่ ๑ ขับ รถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ เสียหายไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าเสื่อมสภาพไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และใช้เวลาซ่อมไม่เกิน๓ วัน โจทก์ที่ ๒ ไม่ขาดประโยชน์จากการใช้รถเพราะใช้เพื่อความสะดวกสบาย มิใช่เพื่อธุรกิจการค้า หากโจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บจริง ก็เป็นเพียงเล็กน้อย ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน ๓๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งสองขอให้เรียกกองบัญชาการทหารสูงสุด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม อ้างว่า เพิ่งทราบจากคำให้การของจำเลยที่ ๒ ว่า มิได้เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๑ และมิได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับไปเกิดเหตุหากแต่เป็นของกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ โดยตรง ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กับตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเกิน ๑ ปี ทั้งที่รู้ว่าเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยร่วมขาดอายุความพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ๓๒,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ และ ๘,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้เสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับคดีของจำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วม
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๕๑,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายทำละเมิดจริงปัญหาเบื้องต้นที่จะวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมต้องร่วมรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓มาตรา ๑๗ รวมทั้งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ บัญญัติให้กองบัญชาการทหารสูงสุด จำเลยร่วม เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกระทรวงกลาโหม จำเลยและตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองบัญชาการทหารสูงสุดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๔ (๔) แบ่งราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด ให้มีกรมข่าวทหารอันเป็นสังกัดที่จำเลยที่ ๑ รับราชการอยู่ก็ตาม แต่กองบัญชาการทหารสูงสุด จำเลยร่วม เป็นส่วนราชการส่วนหนึ่งในสังกัดกระทรวงกลาโหม จำเลยที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ ดังกล่าวแล้ว และการทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นจากการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ดังนี้จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมจึงต้องรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ สำหรับประเด็นในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วม ตามพฤติการณ์โจทก์ทั้งสองทราบสำนักที่ทำงานสังกัดของจำเลยที่ ๑ มาก่อน โดยปรากฏตามของโจทก์ ระบุที่อยู่ของจำเลยที่ ๑ ว่า อยู่ศูนย์ปฏิบัติการข่าว กองบัญชาการทหารและยังบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการปฏิบัติราชการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการข่าวสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุดอันหมายถึงว่าโจทก์ทั้งสองทราบมาก่อนฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการอยู่ในสังกัดของกองบัญชาการทหารสูงสุดจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒ เมื่อปรากฏว่า เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ โจทก์ทั้งสองขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีอันถือเสมือนจำเลยร่วมถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๘ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๔ เป็นเวลาเกิน ๑ ปี นับแต่รู้ถึงการและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์สำหรับจำเลยร่วมจึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดต่อฝ่ายโจทก์จึงย่อมมีความเสียหายซึ่งความเสียหายนี้ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ในเรื่องที่โจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บเพียงใด หรือไม่ และค่ารักษาพยาบาลมีเพียงใดพฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ฟังได้เพียงว่า โจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บไม่ร้ายแรงและมีค่าเสียหายไม่มากดังที่โจทก์นำสืบ สมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑,๒๐๐ บาท เกี่ยวกับค่าซ่อมรถของโจทก์ที่ ๒ เมื่อพิเคราะห์จากความร้ายแรงเกี่ยวกับเหตุรถชนกันประกอบกับรายการซ่อมอันไม่จำเป็นบางรายการแล้ว สมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับ ๓๖,๐๐๐ บาท ส่วนระยะเวลาการซ่อม ทำให้โจทก์ที่ ๒ ไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถ ต้องนั่งรถแท็กซี่ไปประกอบธุรกิจการงาน ๒ แห่ง วันละ ๑๐๐ บาทนั้น เห็นว่าระยะเวลาแห่งการซ่อมไม่ควรเกิน ๙๐ วัน สมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๙,๐๐๐ บาท สำหรับค่าเสื่อมราคารถโจทก์ที่ ๒ พิเคราะห์ความเสียหายของรถจากเหตุชนกันดังกล่าวข้างต้นแล้ว สมควรกำหนดค่าเสื่อมราคาของรถให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายที่โจทก์ที่ ๒ จะได้รับ ๑๘,๒๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๓๖,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินที่ ๑๘,๒๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินแต่ละยอดตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม