แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะบรรยายมาในคำฟ้องเพียงว่า จำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่าทองของโจทก์ โจทก์อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิกและออกบัตรเครดิตให้แก่จำเลยใช้แทนเงินสดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ และนอกจากนี้ในการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยยังได้รับวงเงินหมุนเวียนอีกจำนวน 240,000 บาท แต่โจทก์ได้แนบใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับยอดหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” มาด้วย ทั้งยังปรากฏว่าในแต่ละเดือนโจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตไปให้จำเลยทราบตลอดมาจนกระทั่งสัญญาเลิกกัน จำเลยจึงย่อมจะต้องทราบถึงข้อผูกพันของสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” รวมทั้งภาระหนี้สินที่เกิดจากสินเชื่อเป็นอย่างดี การไม่ระบุรายละเอียดของข้อตกลงในการใช้สินเชื่อประเภทนี้ในใบสมัครและในเงื่อนไขการใช้บัตร จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดี ประกอบกับในคำให้การของจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” แสดงว่าจำเลยไม่ได้หลงข้อต่อสู้แต่อย่างใด กรณีจึงถือได้ว่าคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การให้สินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” แก่จำเลย แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นหลังจากจำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่าของโจทก์ แต่ก็ได้ความจากใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตพร้อมคำแปลเอกสารว่า โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” รวมกันมากับหนี้อันเกิดจากการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจำเลยเองไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใด จึงทำให้น่าเชื่อว่าสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาบัตรเครดิต การคิดดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้จึงต้องถือตามอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่า มิใช่ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.8 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้บังคับในระหว่างไม่ผิดนัดตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ ซึ่งปรากฏตามประกาศอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของโจทก์ว่า ในช่วงวันที่ 9 กันยายน 2549 ที่จำเลยเริ่มผิดนัดชำระหนี้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้เกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยเพียงอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2549 จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 241,803.24 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 237,825.40 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 238,577.97 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 237,825.40 บาท นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2549 ไปจนกว่าชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 ตุลาคม 2549) ต้องไม่เกินกว่า 3,225.30 บาท โดยให้นำเงินที่จำเลยชำระเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2549 จำนวน 10,000 บาท และเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2549 จำนวน 20,000 บาท ไปหักชำระหนี้ในวันที่ชำระ โดยหักชำระดอกเบี้ยก่อน หากมีเงินเหลือจึงนำไปหักชำระต้นเงินตามลำดับ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อที่เรียกว่า “เงินสดโทรสั่งได้” มิได้เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยแต่อย่างใด แต่โจทก์กลับมิได้บรรยายถึงที่มาและลักษณะของสินเชื่อดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายมาในคำฟ้องเพียงว่า จำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่าทองของโจทก์ โจทก์อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิกและออกบัตรเครดิตให้แก่จำเลยใช้แทนเงินสดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ และนอกจากนี้ในการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยยังได้รับวงเงินหมุนเวียนอีกจำนวน 240,000 บาท แต่โจทก์ก็ได้แนบใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับยอดหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” มาด้วย ทั้งยังปรากฏว่าในแต่ละเดือนโจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตไปให้จำเลยทราบตลอดมาจนกระทั่งสัญญาเลิกกัน จำเลยจึงย่อมจะต้องทราบถึงข้อผูกพันของสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” รวมทั้งภาระหนี้สินที่เกิดจากสินเชื่อเป็นอย่างดี การไม่ระบุรายละเอียดของข้อตกลงในการใช้สินเชื่อประเภทนี้ในใบสมัครและในเงื่อนไขการใช้บัตร จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดี ประกอบกับในคำให้การของจำเลย จำเลยก็ให้การต่อสู้ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” แสดงว่าจำเลยก็ไม่ได้หลงข้อต่อสู้แต่อย่างใด กรณีจึงถือได้ว่าคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการต่อไปว่า การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า สินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” มิใช่สิทธิประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ แต่เป็นสินเชื่ออีกประเภทหนึ่งต่างหาก จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของข้อกำหนดและเงื่อนไข โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยโดยอ้างข้อสัญญาที่ระบุไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไข คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” ในอัตราร้อยละ 0.8 ต่อเดือน เท่านั้น เห็นว่า การให้สินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” แก่จำเลยแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นหลังจากจำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่าของโจทก์ แต่ก็ได้ความจากใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตพร้อมคำแปลว่า โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” รวมกันมากับหนี้อันเกิดจากการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจำเลยเองก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใด จึงทำให้น่าเชื่อว่าสินเชื่อ “เงินสดโทรสั่งได้” เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาบัตรเครดิต การคิดดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้จึงต้องถือตามอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่า มิใช่ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.8 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้บังคับในระหว่างไม่ผิดนัดตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ ซึ่งปรากฏตามประกาศอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของโจทก์ว่า ในช่วงวันที่ 9 กันยายน 2549 ที่จำเลยเริ่มผิดนัดชำระหนี้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้เกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยเพียงอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2549 จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ