คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12457/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกมี 7 คน การแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทต้องแบ่งกันตามที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับ การที่ทายาทอื่นมิได้เรียกร้องมาด้วยนั้นจะถือว่าทายาทอื่นนั้นสละมรดกหาได้ไม่ และจะแบ่งโดยเอาส่วนแบ่งทายาทอื่นไปให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมไม่ได้ โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคงได้ส่วนแบ่งแต่เฉพาะส่วนของตนคนละ 1 ใน 7 ส่วนเท่านั้น

ย่อยาว

ดคีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกชื่อคู่ความทั้งสองสำนวนตามเดิม
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวน ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 ระหว่างนายจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเต่าและนางเคนผู้ให้สัญญากับนายจันทร์ผู้รับสัญญา และให้จำเลยทั้งสามแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ที่ 2 และที่ 4 คนละ 9 ไร่ 2 งาน 16 ตารางวา กับให้จำเลยทั้งสามคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 4 เพื่อดำเนินการแบ่งปันแก่ทายาทของนายเต่าและนายเคน และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 4 คนละ 275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ขอถอนฟ้องทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาต
นางแซวยื่นคำร้องสอดขอให้แบ่งเงินที่นายจันทร์ได้จากการขายที่ดินมรดกให้ผู้ร้องสอดเป็นเงิน 275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันร้องสอดเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ กับขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่โฉนดเลขที่ 1152 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา และให้จำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกดังกล่าวให้ผู้ร้องสอดจำนวน 7 ไร่ 63 ตารางวา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าร่วมเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 2 ที่ 4 และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่ได้จากการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35320 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคนละ 275,000 บาท กับให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วน โดยให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคนละ 1 ส่วน ไม่เกินจากที่ขอ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม หากไม่สามารถแบ่งที่ดินดังกล่าวได้ให้นำออกประมูลขายระหว่างทายาทหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาชำระให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมตามส่วน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เจ้ามรดกมีบุตร 9 คน บุตร 2 คน คือนายลับกับนางเรียบถึงแก่ความตายไปก่อนเจ้ามรดกและไม่มีทายาท ส่วนนางเหลาถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกแต่มีโจทก์ร่วมเป็นผู้รับมรดกแทนที่ สำหรับนางด้วงมารดาโจทก์ที่ 4 เป็นบุตรเจ้ามรดกแต่ถึงแก่ความตายภายหลังที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้ว ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งนายจันทร์เป็นผู้จัดการมรดกและในคดีดังกล่าวทายาทได้ตกลงกันว่านายจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกยอมแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1719 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่พี่น้องซึ่งเป็นหญิงรวม 4 คน เป็นเนื้อที่ 30 ไร่ และแบ่งแยกที่ดินซึ่งพี่น้องต่างครอบครองเป็นสัดส่วนให้แก่ผู้ที่ครอบครองทรัพย์สิน นอกจากที่ตกลงกันดังกล่าวให้ตกเป็นสิทธิของนายจันทร์ตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม 2535 และวันที่ 4 มีนาคม 2536 คดีหมายเลขแดงที่ 59 และ 342/2533 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา (อำเภอบัวใหญ่) เอกสารหมาย ล.49 และ ล.51 หลังจากนั้นนายจันทร์ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และมารดาโจทก์ที่ 4 แล้ว สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 และ 35320 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดก นายจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนเป็นของตนเองเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 และได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.19 ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 35320 นายจันทร์ได้ขายให้นางบังอรเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2538 หนังสือสัญญาขายที่ดินตามเอกสารหมาย ล.13 และนายจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2538 ตามมรณบัตรเอกสารหมาย ล.18 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.51 เป็นสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกอาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคแรก แต่ข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.51 ระบุว่านายจันทร์ซึ่งเป็นผู้ร้องในคดีดังกล่าวยอมแบ่งปันที่ดินโฉนดเลขที่ 1719 ให้แก่ฝ่ายผู้คัดค้านและพี่น้องซึ่งเป็นหญิงรวม 4 คน เป็นเนื้อที่รวม 30 ไร่ และเมื่อดำเนินการรังวัดแบ่งแยกเรียบร้อยแล้ว จะไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่อยู่อาศัยให้แก่พี่น้องซึ่งเป็นทายาทและครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่ได้ครอบครองต่อไป ส่วนทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ตกลงกันดังกล่าวให้เป็นสิทธิของนายจันทร์ แสดงให้เห็นว่านอกจากทรัพย์สินที่ทายาทครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วยังมีที่ดินและทรัพย์สินอื่นที่ทายาทมิได้ครอบครองเป็นส่วนสัดอยู่อีก ทายาทจึงได้ทำข้อตกลงกันดังกล่าว ข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.51 จึงเป็นสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสอง และรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวถือเป็นหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่ง แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว จึงบังคับให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมรับผิดตามข้อตกลงดังกล่าวหาได้ไม่ เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 และ 35320 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นทรัพย์มรดกและยังไม่ได้แบ่งให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกจึงต้องแบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วม สำหรับจำนวนเงินที่ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35320 นั้นปรากฏจากหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.13 ว่า ขายในราคา 1,100,000 บาท เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานทำขึ้นและคู่สัญญาลงลายมือชื่อต่อหน้าเจ้าพนักงานในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง เมื่อจำเลยทั้งสามกล่าวอ้างว่าราคาดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าราคาที่ขายเพียง 360,000 บาท ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ซึ่งราคาขายดังกล่าวผู้ที่รู้ดีคือนางบังอรผู้ซื้อ และนายสถิตเจ้าพนักงานที่ดิน แต่จำเลยทั้งสามมิได้นำนางบังอรและนายสถิตมาเบิกความยืนยันดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามเอกสารหมาย ล.13 ว่า ที่ดินดังกล่าวซื้อขายกันในราคา 1,100,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่ได้จากการขายที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคนละ 275,000 บาท และแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เป็น 4 ส่วน โดยให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคนละ 1 ส่วน นั้น ปรากฏว่า คดีนี้มีทายาทที่จะรับมรดกรวม 7 คน แม้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และนางน้อยทายาทของเจ้ามรดกจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกไปบ้างตามข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.51 ก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่าทรัพย์สินทั้งสองรายการดังกล่าวเป็นมรดกด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทนั้นต้องแบ่งกันตามที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับ การที่ทายาทอื่นมิได้เรียกร้องมาด้วยนั้นจะถือว่าทายาทอื่นผู้อื่นนั้นไปให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมไม่ได้ ดังนั้น โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคงได้ส่วนแบ่งแต่เฉพาะส่วนของตนเพียงคนละ 1 ส่วน ใน 7 ส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่ได้จากการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35320 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 1,100,000 บาท กับแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1152 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ร่วมคนละ 1 ส่วน ใน 7 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share