คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงเกี่ยกับสภาพการจ้างที่ผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างกับผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้ทำความตกลงกันทำขึ้น มิได้กำหนดระยะเวลาไว้ จึงมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่ที่ตกลงกัน
การที่นายจ้างเลิกกิจการไม่ทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นสุดลง เมื่อข้อตกลงระบุว่าในกรณีนายจ้างจำเป็นต้องยุบหรือเลิกกิจการแผนกใด นายจ้างรับจะพิจารณาหาตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมให้ลูกจ้าง แล้วนายจ้างยุบเลิกแผนกโดยไม่หาตำแหน่งใหม่ให้ลูกจ้างจึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ และเมื่อมีพฤติการณืฟังได้ว่านายจ้างยุบเลิกแผนกส่งของเพื่อเลิกจ้างเนื่องจากลูกจ้างในแผนกนี้หลายคนเป็นผู้นำในการยื่นข้อเรียกร้องให้ปรับปรุงค่าจ้างและสวัสดิการก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่นายจ้าง จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 121 (1) อีกด้วย ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของนายจ้างเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องของลูกจ้างและสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายได้
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ มาตรา 40, 41 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการประชุมและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุกคนเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ โจทก์ประกอบการค้านำเข้าและส่งออกสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค แบ่งงานเป็น ๑๐ แผนก โจทก์เห็นว่ารายจ่ายของแผนกส่งของสูงมาก สามารถให้บุคคลภายนอกรับเหมาทำได้โดยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าดำเนินการเอง โจทก์จึงได้ยุบแผนกนี้ พนักงานในแผนกดังกล่าวโจทก์หาทางบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งอื่น แต่จำเป็นต้องปลดพนักงานแผนกส่งของออก ๒๑ คน เพราะไม่มีตำแหน่งเหมาะสมกับความสามารถ ต่อมาโจทก์ได้ร้บคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าการที่โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างเป็นเงินเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้าย ๙ เดือน ๘ วัน โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องของลูกจ้าง เพราะโจทก์มิได้เลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุตามที่ระบุในมาตรา ๑๒๑ (๑) พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๒๓ เพราะถึงแม้โจทก์จะได้ทำความตกลงกับพนักงานแผนกส่งของมาก่อน แต่เมื่อโจทก์ยุบหรือเลิกกิจการแผนกส่งของข้อตกลงที่ทำไว้ย่อมสิ้นผลบังคับ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย
จำเลยให้การว่า คำสั่งของจำเลยตามฟ้องเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายความจริงมีว่า ลูกจ้างของโจทก์ที่ประจำอยู่ที่คลังสินค้าซึ่งรวมทั้งแผนกส่งของได้ยื่นข้อเรียกร้องและเจรจาขอให้โจทก์ปรับปรุงเงินเดือนและสวัสดิการ ผลที่สุดโจทก์ยอมทำบันทึกข้อตกลงอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยโจทก์ต้องจ่ายเงินค่าจ้างและค่าล่วงเวลาเพิ่มขึ้น โจทก์จึงหาทางกลั่นแกล้งลูกจ้างแผนกส่งของซึ่งเป็นผู้นำในการยื่นข้อเรียกร้องด้วยการเลิกจ้างลูกจ้างแนผกส่งของ รวม ๒๑ คน อ้างว่าเพื่อลดค่าใช้จ่ายซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ มาตรา ๑๒๑ (๑) ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับลูกจ้างมิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ต้องถือว่ามีผลใช้บังคับ ๑ ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเลิกจ้างก่อนกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำสั่งของจำเลยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ลูกจ้างของโจทก์ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ปรับปรุงค่าจ้างและสวัสดิการ ผลที่สุดผู้แทนฝ่ายโจทก์กับผู้แทนฝ่ายลูกจ้างทำความตกลงกันได้ โดยบันทึกข้อตกลงกันไว้ บันทึกนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลใช้บังคับในระยะเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน แต่เนื่องจากข้อตกลงนี้มิได้กำหนดระยะเวลาไว้จึงมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ ที่โจทก์อ้างว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ห้ามนายจ้างเลิกกิจการของตน เมื่อโจทก์เลิกกิจการแผนกส่งของและบอกเลิกการจ้าง สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับลูกจ้างอันเป็นสัญญาประธานสิ้นสุดลง ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นสัญญาอุปกรณ์ย่อมสิ้นผลบังคับโดยปริยายนั้น เห็นว่า เมื่อการจ้างลูกจ้างของโจทก์ตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ โจทก์กับลูกจ้างย่อมมีความผูกพันต้องปฏิบัติต่อกันตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหาใช่เป็นเพียงสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาจ้างแรงงานดังที่โจทก์อ้างไม่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุไว้ว่า ในกรณีจำเป็นต้องยุบหรือเลิกกิจการแผนกใด นายจ้างรับจะพิจารณาหาตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมให้ ยกเว้นกรณีที่ลูกจ้างมีความผิดตามข้อบังคับของบริษัทหรือกฎหมายแรงงาน ดังนั้น ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับและลูกจ้างมิได้มีความผิดตามที่ระบุไว้ โจทก์จะยุบเลิกแผนกส่งของเลิกจ้างลูกจ้างที่ทำงานอยู่แผนกนี้โดยไม่หาตำแหน่งอื่นให้ลูกจ้างหาได้ไม่ การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาสัมพันธ์ ฯ นอกจากนี้พฤติการณ์มีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า โจทก์ยุบเลิกแผนกส่งของเลิกจ้างลูกจ้างก็เนื่องจากลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องให้ปรับปรุงค่าจ้างและสวัสดิการ ทั้งนี้ เพราะลูกจ้างแผนกส่งของหลายคนเป็นผู้นำในการเรียกร้องก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่โจทก์ การเลิกจ้างลูกจ้างของโจทก์ในกรณีนี้จึงฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ อีกด้วย บทบัญญัติมาตรา ๑๒๓ และ ๑๒๑ (๑) อยู่ในหมวด ๙ เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม เมื่อโจทก์กระทำการฝ่าฝืน บทบัญญัติดังกล่าวจึงถือได้ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จำเลยในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องของลูกจ้าง และสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายได้ตามมาตรา ๔๑ (๔) ประกอบด้วยมาตรา ๑๒๕
สำหรับปัญหาว่าคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เชิญนายสมรัตน์ลูกจ้างคนหนึ่งที่โจทก์เลิกจ้างมาทราบข้อเสนอขอประนีประนอม ตัวแทนลูกจ้างผู้ร้องเรียน ๔ คนมิได้รับเชิญมานั้น เห็นว่ามาตรา ๔๐, ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการประชุมและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีดังกล่าวจะถือว่าจำเลยในฐานะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามกฏหมายหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share